การเรียนเพื่อรอบรู้ ( Mastery Learning )
ความหมายของการเรียนเพื่อรอบรู้
นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการเรียนเพื่อรอบรู้ ซึ่งสามารถนิยามได้ว่า การจัดการเรียนเพื่อรอบรู้ หมายถึง กระบวนการในการดำเนินการให้ผู้เรียนทุกคน ซึ่งมีความสามารถและสติปัญญาแตกต่างกัน สามารถเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง ((Block & Anderson,1975 : 25-55 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2547 : 127) โดยสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้อย่างละเอียดและเป็นไปตามลำดับขั้น และวางแผนการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนแต่ละคน หรือแต่ละกลุ่มที่มีความต้องการเหมือนกัน
ให้สนองตอบความถนัดที่แตกต่างกันของผู้เรียน จากการแสวงหาวิธีการ สื่อ หรือนวัตกรรมต่างๆ มาช่วยจนผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ครบทุกจุดประสงค์ การเรียนรู้เพื่อรอบรู้นี้ จึงมีผู้ใช้ชื่อต่างๆ กัน ซึ่งอาจเรียกว่า การเรียนแบบรู้แจ้ง การเรียนแบบรู้จริง หรือการเรียนแบบรู้รอบ ซึ่งผู้เขียน เห็นว่าในที่นี้ควรเรียกว่า “การเรียนเพื่อรอบรู้” เพราะผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ให้รอบรู้ในเรื่องต่างๆ ได้ อย่างเท่าเทียมกัน หากผู้เรียนได้รับเวลาที่จะเรียนรู้เรื่องนั้นๆอย่างเพียงพอตามความต้องการเพื่อ ความรอบรู้ของตนเอง
รูปแบบการเรียนเพื่อรอบรู้
สำหรับรูปแบบการเรียนเพื่อรอบรู้ มีผู้เสนอแนวความคิดพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนเพื่อรอบรู้ เรื่องรูปแบบการเรียนในโรงเรียน (Model of School Learning) ที่แตกต่างกันซึ่งสามารถนำเสนอได้ ดังนี้
Carroll (1963) ได้เสนอรูปแบบของการเรียนเพื่อรอบรู้ โดยกล่าวถึงองค์ประกอบที่สำคัญในการเรียนคือ เวลาซึ่งพบว่า การให้เวลาแก่ผู้เรียนแต่ละคนตามที่เขาต้องการในการเรียนรู้ และหากลวิธีสอนที่มีคุณภาพ เพื่อให้เหมาะสมกับความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน จะส่งผลให้ผู้เรียนที่เรียนไม่ดีสามารถที่จะเรียนรู้ได้เท่าเทียมกับผู้เรียนที่เรียนดีได้
ซึ่งต่อมา บลูม (Bloom,1969 อ้างถึงใน สุภาสินี สุภธีระ,2535) ได้พัฒนารูปแบบการเรียนเพื่อรอบรู้จากรูปแบบการเรียนรู้ของ John B. Carroll โดยอธิบายว่า ถ้าความสามารถหรือความถนัดของผู้เรียนในการเรียนวิชาหนึ่งมีการกระจายเป็นโค้งปกติ หากครูให้เวลาในการเรียนเท่ากันหมดและใช้การสอนเหมือนกันหมดทุกคนแล้ว ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะมีค่าค่อนข้างสูง (.70) แต่ถ้าผู้เรียนใช้เวลาในการเรียนแตกต่างกันและสอนแต่ละคนให้แตกต่างกันตามความสามารถของผู้เรียน กล่าวคือ ผู้เรียนที่มีความสามารถในการเข้าใจช้า ก็ให้เวลามาก ส่วนผู้เรียนที่มีความสามารถในการเข้าใจเร็ว ก็จะใช้เวลาน้อย จะมีผู้เรียนร้อยละ 95 ทำคะแนนได้ถึงเกณฑ์ที่เรียกว่ารอบรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เกิดจากการสอนที่เหมือนกันทั้งวิธีสอนและเวลาที่ให้แก่ผู้เรียน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เกิดจากการสอนที่แตกต่างกันทั้งวิธีสอนเวลาที่ให้แก่ผู้เรียนที่เหมาะสมกับความสามารถของแต่ละบุคคล
นอกจากนี้ Bloom ยังได้ขยายแนวคิดว่า หากกำหนดปริมาณการเรียนรู้ไว้ระดับหนึ่ง อาจจะเป็นร้อยละ 70 หรื 80 นักเรียนต้องทำคะแนนให้ได้ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ จึงจะเรียนกว่า เรียนรู้ถึงขั้นรอบรู้ (Mastery Level) การกำหนดระดับการเรียนรู้ไว้คงที่ แล้วให้เวลาในการเรียนแตกต่างกัน คนที่เรียนเร็วจะใช้เวลาน้อยในการทำคะแนนให้ได้ถึงเกณฑ์ที่เรียกว่ารอบรู้ ส่วนคนที่เรียนได้ช้าจะใช้เวลามากกว่า แต่ก็สามารถทำคะแนนให้ได้ถึงเกณฑ์ที่เรียกว่า รอบรู้ได้เหมือนกัน ดังนั้นในระหว่างการเรียนรู้ ผู้เรียนจะต้องได้รับการช่วยเหลือ และแก้ไขข้อบกพร่องในการเรียนของเขาอย่างทันท่วงที ซึ่งการเรียนรู้ในโรงเรียน จะมีการสอนและการเรียนรู้ควบคู่กันไปอย่างเป็นกระบวนการ โรงเรียนต้องช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนที่มีความแตกต่างกันนั้นได้พัฒนาความสามารถในด้านที่ควรจะมี วิธีการอย่างหนึ่งก็คือ การปรับปรุงการสอนและพิจารณาหลักสูตร ด้วยเหตุนี้ Bloom จึงได้เสนอทฤษฎีการเรียนเพื่อรอบรู้ ซึ่งเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ในโรงเรียนแบบหนึ่ง ที่คำนึงถึงคุณลักษณะของความเป็นมนุษย์ และเสนอตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ในโรงเรียน คือ ผู้เรียนจะต้องมีความรู้พื้นฐานที่จะเรียน มีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ และการสอนของครูควรเป็นสิ่งที่ผู้เรียนนำไปใช้ได้ นอกจากนี้ องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้คุณภาพของการสอนมีประสิทธิภาพนั้นต้องมีการชี้แนะ (Cue) โดยการบอกจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนให้ผู้เรียนทราบอย่างชัดเจน ให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน (Participation) มีการให้สิ่งเสริมแรงแก่นักเรียนตามความแตกต่างระหว่างบุคคล และให้ผลย้อนกลับและการแก้ไขสิ่งบกพร่อง (Feedback and Correction) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้ผู้เรียนทราบว่า ตนเองยังบกพร่องในเรื่องใด และครูจะต้องสอนซ่อมเสริมตรงไหนจึงจะบรรลุเกณฑ์ที่ตั้งไว้
จากแนวคิดของ Carroll และ Bloom ที่ได้เสนอรูปแบบการเรียนเพื่อรอบรู้ไว้แล้วนั้น ต่อมา Hotchkis (1986 อ้างถึงใน จงจิต ตรีรัตนธำรง, 2543) อาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแมคไคว์รี ประเทศออสเตรเลีย ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการเรียนเพื่อรอบรู้ พบว่า องค์ประกอบการเรียนรู้ของ Carroll ยังขาดประเด็นที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน ส่วนทฤษฎีการเรียนเพื่อรอบรู้ของ Bloom ซึ่งได้แนวคิดมาจาก Carroll แม้จะเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้นแต่ยังขาดปัจจัยที่สำคัญคือ เครื่องมือที่เหมาะสมกับการสอนเป็นกลุ่ม ในสภาพของห้องเรียนที่มีผู้เรียนจำนวนมาก Hotchkis จึงได้เสนอแนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยได้เสริมปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ประสบการณ์ก่อนเรียน และได้นำแนวคิดของการพัฒนาการเรียนรู้ตามเส้นโค้งของความถี่สะสม ซึ่งมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับหลักการเรียนเพื่อรอบรู้มาพัฒนาขั้นตอนการสอน แบ่งอกเป็น 5 ขั้น คือ
ขั้นการรับรู้ (Acquisition) ในขั้นนี้ ครูเริ่มเสนอเนื้อหาใหม่ให้แก่ผู้เรียน ผู้เรียนเริ่มเรียนรู้และจะได้รับปัจจัยสำคัญด้านต่างๆ ได้แก่ เจตคติ ความคิดรวบยอด ความรู้ ความเข้าใจ ผู้เรียนจะเริ่มลองผิดลองถูกกับสิ่งที่เรียนรู้ ความถูกต้องและความแม่นยำในการเรียนรู้จะมีน้อย ในขั้นนี้ ครูผู้สอนควรดำเนินการดังนี้ Mastery
• จัดเรียงเนื้อหาในหลักสูตรตามลำดับความยากง่าย ให้เนื้อหามีความสัมพันธ์กัน
• กำหนดเวลาที่เหมาะสมในการเรียนแต่ละบทเรียน
• เตรียมแบบทดสอบซึ่งประกอบด้วยแบบทดสอบย่อยและแบบทดสอบรวม
• กำหนดแผนการสอน โดยเน้นการสอนให้เกิดความคิดรวบยอดแก่ผู้เรียนเป็นสำคัญ เมื่อทำการสอน ครูควรสังเกตในเรื่องต่อไปนี้
o ความเหมาะสมของเวลาที่ให้ผู้เรียนแต่ละคน และแต่ละบทเรียน
o ความยากง่ายเหมาะสมกับทักษะพื้นฐานของผู้เรียน
o ปญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการเรียนรู้ของนักเรียน
ขั้นเกิดความคล่องตัว (Fluency) ในขั้นนี้ ผู้เรียนจะได้รับการฝึกฝนทักษะ จนเกิดความคล่องแคล่ว
ในเนื้อหา หลังจากผู้เรียนได้เรียนรู้และเกิดความคิดรวบยอดที่ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติของผู้เรียนจะเพิ่มความถูกต้องมากขึ้น ดังนั้น ผู้สอนต้องเตรียมกิจกรรมการสอนให้มากพอ เพื่อฝึกให้ผู้เรียนเกิดความคล่องแคล่ว แม่นยำ และรวดเร็วในบทเรียน
ขั้นเกิดความคงทน (Maintenance) ขั้นนี้สืบเนื่องมาจากความคล่องตัวในเนื้อหา อันเนื่องมาจากการฝึกปฏิบัติของผู้เรียนในขั้นที่ 2 ความคงทนของความรู้ที่ได้รับจะอยู่ได้นานและไม่ลืม เนื่องจากมีความแม่นยำในสิ่งที่เรียนจากการปฏิบัติและประสบการณ์ในการลองผิดลองถูกมาหลายครั้งแล้ว วิธีการที่จะพิจารณาว่าผู้เรียนจำได้นานและถาวรในส่วนที่มีความจำเป็นต่อการเรียนในบทเรียนต่อไป คือ การทดสอบอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งมอบหมายงานที่ทำ เพื่อให้รู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ
ขั้นนำไปประยุกต์ใช้ (Application) ในขั้นนี้ เมื่อผู้เรียนมีความชำนาญในความรู้ที่เรียนมาการนำไปใช้ในที่นี้ เป็นการเพิ่มประสบการณ์ของผู้เรียน โดยเน้นที่การแก้ปัญหาจากเหตุการณ์สมมติในห้องเรียน ทั้งนี้ เป็นความจำเป็นของครูที่ต้องพิจารณาว่า การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ของผู้เรียน ถ้ามีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมเป็นประจำ ครูอาจนำเหตุการณ์ทั้งหมดมากำหนดเป็นภาพการแก้ปัญหาเพียงเล็กน้อย สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่มีโอกาสเห็น ครูควรจัดสอนหรือให้เป็นข้อแก้ปัญหาให้มากและบ่อยครั้ง เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการแก้ปัญหาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และเป็นการเพิ่มความชำนาญในการแก้ปัญหาให้แก่ผู้เรียนด้วย
ขั้นปรับใช้ให้ถูกกับสถานการณ์ (Adaptation) ในขั้นนี้ ผู้เรียนจะสามารถนำความรู้มาดัดแปลงหรือปรับใช้ได้ทุกๆ สถานการณ์ที่ผู้เรียนมีโอกาสในการแก้ปัญหาจริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจจัดเป็นเหตุการณ์สมมติ เพื่อให้ผู้เรียนเห็นแนวทาง โดยมีครูเป็นผู้แนะนำ ถ้าผู้เรียนไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้ถูกต้องในชั้นเรียน ผู้เรียนต้องคิดตัดสินใจและลงมือกระทำด้วยตนเอง หากเกิดข้อผิดพลาด ผู้เรียนจะพยายามทบทวนและหาแนวทางแก้ไขต่อไปด้วยตนเองตัวบ่งชี้ของการเรียนเพื่อรอบรู้
ในการเรียนเพื่อรอบรู้ ตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ให้กับผู้เรียน กล่าวคือ ผู้สอนต้องกำหนดวัตถุประสงค์อย่างละเอียดในการเรียนรู้เนื้อหาสาระ มีการจัดกลุ่มวัตถุประสงค์ที่ต้องบ่งบอกถึงสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องกระทำให้ได้ เพื่อแสดงว่าตนเองได้เกิดการเรียนรู้จริงในสาระนั้นๆ โดยจะต้องจัดเรียงจากสิ่งที่เป็นพื้นฐานไปสู่สิ่งที่สลับซับซ้อนขึ้น มีการวางแผนการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนแต่ละคน แต่ละกลุ่ม ให้สามารถสนองตอบความถนัดที่แตกต่างกันของผู้เรียน ซึ่งอาจเป็นการใช้สื่อการเรียน วิธีการสอน หรือให้เวลาที่แตกต่างกันเพื่อช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนสามารถเรียนรู้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด มีการชี้แจงให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย วิธีการในการเรียนรู้ ระเบียบ กติกา ข้อตกลงต่างๆ เกี่ยวกับการทำงาน มีการดำเนินการเรียนรู้ตามแผนการเรียนรู้ที่ผู้สอนจัดไว้และมีการประเมินการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์แต่ละข้อ โดยคอยให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล หากผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์หนึ่งที่กำหนดไว้แล้ว จึงจะมีการดำเนินการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ข้อถัดไปได้ หากผู้เรียนยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ผู้สอนจะต้องมีการวินิจฉัยปัญหาและความต้องการของผู้เรียน และ จัดโปรแกรมสอนซ่อมเสริมในส่วนที่ยังไม่สัมฤทธิ์ผล แล้วจึงทำการประเมินผลอีกครั้งหนึ่ง หากผู้เรียนสามารถทำได้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น จึงจะสามารถดำเนินการเรียนรู้ในวัตถุประสงค์ต่อไปได้ หากยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ผู้สอนจะต้องมีการแสวงหาวิธีการ สื่อ แบบฝึกหัด หรือนวัตกรรมอื่นๆ มาช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจ จนกระทั่งเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์นั้น ผู้เรียนมีการดำเนินการเรียนรู้ต่อไปอย่างต่อเนื่อง ตามลำดับของวัตถุประสงค์ที่กำหนด จนกระทั่งบรรลุครบตามทุกวัตถุประสงค์ที่กำหนด ซึ่งผู้เรียนจะใช้เวลามากน้อยต่างกันตามความถนัดและความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน และผู้สอนมีการติดตามความก้าวหน้าในการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของผู้เรียน และเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นรายบุคคล และมีการใช้ข้อมูลในการวางแผนการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนต่อไป
เกณฑ์การรอบรู้ (Mastery Criterion)
การจัดการเรียนการสอนโดยอาศัยหลักการเรียนเพื่อรอบรู้นั้น มีขั้นตอนที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การกำหนดเกณฑ์ของสัมฤทธิ์ผลในการเรียนการสอนตามจุดประสงค์การเรียน ซึ่งเรียกว่า เกณฑ์การรอบรู้ นักการศึกษาหลายท่านได้ศึกษาเรื่อง ทฤษฎีการเรียนเพื่อรอบรู้ ต่างให้ความสำคัญของเกณฑ์การรอบรู้ แต่ยังไม่มีใครกล่าวถึงเกณฑ์ที่เหมาะสมไว้อย่างชัดเจน นอกจาก Bloom ซึ่งเป็นผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียด ได้เสนอแนะเกณฑ์การรอบรู้ไว้ว่า อาจจะเป็น 80-90 % นอกจากนี้ได้มีผู้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับการเรียนเพื่อรอบรู้ และได้เสนอแนะเกณฑ์การรอบรู้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการสอนเพื่อรอบรู้ 2 ขั้นตอน คือ
1. ขั้นการทดสอบ เมื่อผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังจากเรียนจบหน่วยแล้ว คะแนนจากแบบทดสอบจะชี้ให้เห็นว่า นักเรียนเกิดการรอบรู้ในหน่วยการเรียนหรือยัง โดยเทียบกับเกณฑ์การรอบรู้ที่ได้กำหนดไว้
2. ขั้นการสอนซ่อมเสริมและการแก้ไขสิ่งที่บกพร่อง เมื่อผู้เรียนทำแบบทดสอบแล้วไม่ผ่านหรือไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด ผู้เรียนจะต้องได้รับการสอนซ่อมเสริมหรือการแก้ไขสิ่งที่บกพร่อง จนผู้เรียนเกิดการรอบรู้ในเนื้อหาที่เรียนถึงเกณฑ์การรอบรู้ที่ได้กำหนด
นอกจากนี้ การประเมินผลการเรียนเพื่อนำไปสู่การรอบรู้ มักจะกำหนดเกณฑ์การรอบรู้โดยการประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ (criterion-referenced) มากกว่าอิงกลุ่ม (norm-referenced) การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนออกเป็นหน่วยๆ นอกจากจะทำให้กระบวนการเรียนในครั้งหนึ่งๆ หรือหน่วยหนึ่งๆ ชัดเจนแล้ว ยังทำให้การประเมินผลชัดเจน หากสามารถจัดแบ่งและลำดับหน่วยการเรียนได้เหมาะสม.