พลาสติก เป็นวัสดุที่ถูกนำมาใช้งานได้อย่าง กว้างขวาง และมีปริมาณการใช้งานในด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนอาจกล่าวได้ว่าพลาสติกเป็น วัสดุที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันไปแล้ว ปัจจุบันการผลิตพลาสติกมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถผลิตพลาสติก ให้มีคุณสมบัติตามความต้องการได้อย่างหลากหลาย เช่น ถุงใส่อาหาร บรรจุภัณฑ์ใส่อาหารและเครื่องดื่ม ฟิล์มถนอมอาหาร ของเล่นเด็ก อุปกรณ์ก่อสร้าง
และ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามการผลิตพลาสติก จะมีการเพิ่มสารเติมแต่งบางชนิดลงไป ซึ่งสาร เหล่านี้อาจปนเปื้อนสู่อาหาร หากมีการใช้งาน พลาสติกที่ไม่ถูกวิธีหรือใช้ไม่เหมาะสมกับประเภท ของพลาสติก อาจนำมาซึ่งผลกระทบต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้
จากรายงานของ International Agency for Research on Cancer (IARC) กล่าวว่า สารเติมแต่งในการผลิตพลาสติก เช่น Vinyl chloride และ Formaldehyde จัดเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 คือ เป็นสารที่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าสามารถก่อให้เกิด โรคมะเร็งในคน ในแง่ของสิ่งแวดล้อมการใช้งานพลาสติกที่ เพิ่มมากขึ้นนำมาสู่ปริมาณขยะพลาสติกที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่าในปี 2555 มีขยะพลาสติกจากภาคอุตสาหกรรมทั่วประเทศประมาณ 2.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีพ.ศ. 2554 ประมาณ 0.3 ล้านตัน จากการที่พลาสติกมี คุณสมบัติยากต่อการสลายตัวและเสื่อมสภาพทำให้ ขยะมูลฝอยประเภทพลาสติกคงอยู่ในสภาพแวดล้อม ได้เป็นเวลานาน ก่อให้เกิดเป็นภาระในการจัดการเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกทั้ง พลาสติกยังอาจปนเปื้อนสู่ห่วงโซ่อาหารและเป็น อันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ได้ เช่น พลาสติกบางชนิด เมื่อหมดอายุการใช้งานจะถูกย่อยสลายกลายเป็นขยะ ชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งสามารถแทรกในชั้นดินหรือปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำ พลาสติกบางชนิดหากเกิดการเผาไหม้จะ ทำให้เกิดควันพิษในอากาศและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นสาเหตุภาวะโลกร้อน พลาสติกถือเป็นวัสดุที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ยุคปัจจุบันแต่การใช้งานพลาสติกมีทั้งคุณและโทษ ดังนั้นจึงควรเพิ่มความระมัดระวังและศึกษาการใช้พลาสติกแต่ละชนิดอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันสารพิษที่อาจปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกาย ตลอดจนสร้างจิตสำนึกลดปริมาณการผลิตและการใช้พลาสติก ลงเพื่อลดปัญหามลภาวะของสิ่งแวดล้อม
พลาสติกเป็นวัสดุสังเคราะห์ที่มีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวันของมนุษย์ในยุคนั้น พลาสติกมีคุณสมบัติในด้านราคาถูก น้ำหนักเบา แข็งแรง ทนทาน ทำให้พลาสติกกลายเป็นที่นิยมและมีปริมาณการใช้งานเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ถุงพลาสติก บรรจุภัณฑ์ใส่อาหารของเล่นเด็ก เฟอร์นิเจอร์ถึงแม้พลาสติกจะมี ความสะดวกและมีข้อดีมากกว่าวัสดุอื่น ๆ แต่สารประกอบในพลาสติกบางชนิดก็ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ นอกจากนั้นนกระบวนการผลิตพลาสติกจะมีการเพิ่มสารเติมแต่งบางชนิดลงไป เช่น สารเสริมสภาพ พลาสติก สารคงสภาพพลาสติก สารยับยั้งปฏิกิริยาและสารสีต่าง ๆ ดังนั้นการขาดความรู้และมีความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการใช้งานพลาสติก อาจทำให้สารเคมีจากผลิตภัณฑ์พลาสติกถูกปนเปื้อนสู่อาหารและเครื่องดื่มได้ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค นอกจากนี้ปริมาณการใช้พลาสติกที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดของเสียที่เป็นภาระในการจัดเก็บและการทำลาย โดยเฉพาะพลาสติกบางชนิดที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศในที่สุด แม้การใช้งานพลาสติกจะมีประโยชน์ในหลาย ด้าน แต่โทษและผลเสียจากการใช้พลาสติกก็มีอยู่มากเช่นกัน การใช้งานพลาสติกทุกครั้งจึงควรคำนึงถึงความปลอดภัยต่อ สุขภาพโดยเฉพาะกับทารกและเด็กในด้านสิ่งแวดล้อมเราควรเลือกใช้พลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ หรือพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
พลาสติกจึงกลายเป็นปัญหามลพิษที่สำคัญ เนื่องจากปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิด ขยะพลาสติกในปริมาณมากขึ้นตามไปด้วย พลาสติกเป็นสารที่คงทนต่อการย่อยสลายของ จุลินทรีย์ทำให้การสลายตัวโดยธรรมชาติเกิดขึ้นได้ช้ามาก (Mueller, 2006) จากรายงานของ Ohtake et al. (1998) พบว่าการย่อยสลายพลาสติกชนิดโพลิเอธิลีนต้องใช้เวลามากกว่า 100 ปี ขยะพลาสติกจึงอาจส่งผลกระทบต่อการเสื่อมโทรมของคุณภาพดินและการเสื่อมคุณภาพของน้ำ นอกจากนี้การเผาทำลายพลาสติกยังก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซพิษอื่น ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนอีกด้วย
การใช้งานพลาสติกก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างทั้งต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ทำให้มีการค้นคว้าและพัฒนากระบวนการผลิตใหม่ ๆ เพื่อลดปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดกับผู้บริโภครวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันจึงมีการผลิตพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) เป็นพลาสติกที่ผลิตขึ้นจากวัสดุ ธรรมชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชสามารถย่อยสลายได้ (Biodegradable) เช่น เซลลูโลส (cellulose) คอลลาเจน (collagen) เคซีน (casein) พอลิเอสเตอร์ (polyester) แป้ง (starch) และโปรตีนจากถั่ว (soy protein) เป็นต้น โดยแป้งเป็นวัสดุธรรมชาติที่นิยมนำมาผลิตพลาสติกชีวภาพมากที่สุด เนื่องจากหาได้ง่าย มีปริมาณมากและราคาถูก สำหรับประเทศไทยพืชที่นิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลาสติกชีวภาพ คือ ข้าวโพดและมันสำปะหลัง เนื่องจากเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีปริมาณมากและราคาถูก ตัวอย่างพลาสติกชีวภาพ เช่น Polylactic acid หรือ PLA วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต PLA ได้แก่ พืชที่มีแป้งเป็น องค์ประกอบหลักเช่น ข้าวโพด และมันสำปะหลัง
โดยกระบวนการผลิตจะเริ่มจากการย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลและใช้กระบวนการ fermentation ด้วย แบคทีเรีย ได้เป็น lactic acid และน้ำตาล lactic acid ที่ได้มาผ่านกระบวนการทางเคมี เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างให้เป็น polymer ที่เป็นสายยาวที่เรียกว่า polylactic acid ซึ่ง PLA มีคุณสมบัติพิเศษคือ มีความใสไม่ย่อยสลายในสภาพแวดล้อมทั่วไป แต่สามารถย่อยสลายได้เองเมื่อนำไปฝังกลบในดิน Polyhydroxyalkanoates หรือ PHAs วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต PHAs ก็คือ ข้าวโพด มันสำปะหลังและอ้อยโดยกระบวนการผลิตจะเริ่มจาก การย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลด้วยเชื้อ Escherichia coli ซึ่งสามารถเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของน้ำตาลให้ เป็น PHAs โดย PHAs มีคุณสมบัติในการขึ้นรูปเป็นฟิล์ม การฉีดและเป่าให้ได้เป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายแบบ ปัจจุบันมีการนำพลาสติกชีวภาพมาใช้ ประโยชน์หลายด้าน เช่น ด้านการแพทย์โดยการนำพลาสติก ชีวภาพมาผลิตเป็นวัสดุทางการแพทย์ เช่น ผิวหนัง เทียม ไหมละลาย อุปกรณ์ประเภทสกรูและแผ่นดามกระดูกที่ฝังอยู่ในร่างกายที่สามารถย่อยสลายได้เอง ด้านบรรจุภัณฑ์เพื่อการบริโภค เช่น สารเคลือบกระดาษสำหรับห่ออาหาร หรือแก้วน้ำชนิดใช้แล้วทิ้ง ถุงสำหรับใส่ของ ถ้วยหรือถาดย่อยสลายได้สำหรับบรรจุอาหารสำเร็จรูปและอาหารจานด่วน ฟิล์มและถุงพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ สำหรับใช้ใส่ขยะเศษอาหาร โฟมเม็ดกันกระแทก เป็นต้น ด้านการเกษตรนิยมนำมาผลิตเป็นแผ่นฟิล์มสำหรับคลุมดินและวัสดุสำหรับการเกษตร เช่น แผ่นฟิล์มป้องกันการเติบโตของวัชพืชและรักษาความชื้นในดิน รวมทั้งถุงหรือกระถางสำหรับเพาะต้นกล้า
แหล่งที่มา
กิตติมา วัฒนากมลกุล. (2556). ผลิตภัณฑ์พลาสติกกับอาหาร. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.