ความน่าจะเป็น
นิยามต่างๆ ในหัวข้อ ความน่าจะเป็น (Probability)
การทดลองสุ่ม (Random experiment) คือ การทดลองหรือการกระทำที่ไม่สามารถระบุอย่างแน่นอนว่าผลลัพธ์ในการทดลองเป็นอย่างไร
เช่น การโยนเหรียญเรารู้ว่าผลลัพธ์คือหงายหัวหรือก้อย แต่ไม่รู้ว่าจะหงายหน้าใด หรือ การโยนลูกเต๋าซึ่งสามารถออกแต้มหนึ่งถึงหก แต่จะออกหน้าใดไม่รู้
แซมเปิลสเปซ (Sample space) คือ เซตของผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมดของการทดลองสุ่มในแต่ละครั้ง
เช่น 1. การโยนเหรียญ1 อัน 1 ครั้ง พบว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีได้ทั้งหมด 2 ผลลัพธ์ คือ หัว (H) หรือ ก้อย (T) ดังนั้น แซมเปิลสเปซ S = {H, T}
2. การโยนเหรียญ 2 อัน 1 ครั้ง พบว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีได้ทั้งหมด 4 ผลลัพธ์
ดังนั้น แซมเปิลสเปซ S = {HH, HT, TH, TT}
3. โยนลูกเต๋า 1 ลูก สนใจแต้มที่ลูกเต๋าหงาย พบว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด 6 ผลลัพธ์ คือ 1,2,3,4,5 หรือ 6 ดังนั้น แซมเปิลสเปซ S = {1,2,3,4,5,6}
หมายเหตุ การทดลองสุ่มอย่างเดียวกัน อาจเขียนแซมเปิลสเปซได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่เราสนใจ
เหตุการณ์ (Event)
ในการทดลองสุ่มบางครั้งเราสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าที่จะสนใจแต่ละผลลัพธ์ในแซมเปิลสเปซ เหตุการณ์ต่างๆ นี้เป็นเซตของผลลัพธ์ ดังนั้น เหตุการณ์ คือ เซตย่อยของแซมเปิลสเปซ
เช่น จากการโยนลูกเต๋า 2 ลูกใน 1 ครั้ง ถ้าสนใจเหตุการณ์ที่ผลรวมแต้มของลูกเต๋า 2 ลูก เท่ากับ 10 ดังนั้น เราจะได้
แซมเปิลสเปซ S = {(1,1), (1,2), (1,3), (1,4), (1,5), (1,6), (2,1), (2,2), (2,3), (2,4), (2,5), (2,6),(3,1), (3,2), (3,3), (3,4), (3,5), (3,6), (4,1), (4,2), (4,3), (4,4), (4,5), (4,6), (5,1), (5,2), (5,3), (5,4), (5,5), (5,6), (6,1), (6,2), (6,3), (6,4), (6,5), (6,6)}
และให้ E แทนเหตุการณ์ที่ผลรวมแต้มของลูกเต๋า 2 ลูกเท่ากับ 10 ดังนั้น
E = {(4,6), (5,5), (6,4)}
นิยาม ให้ S แทนแซมเปิลสเปซ ซึ่งเป็นเซตจำกัด และ E แทนเหตุการณ์ เราจะให้
n(S) = จำนวนผลลัพธ์ใน S และ n(E) = จำนวนผลลัพธ์ใน E
จากนิยามจะพบว่า
1. 0 £ n(E) £ n(S)
2. n(E) = 0 ก็ต่อเมื่อ E = f (ไม่มีผลลัพธ์ใน E )
3. n(E) = n(S) ก็ต่อเมื่อ E = S
ความน่าจะเป็น (Probability) หมายถึง ตัวเลขที่ใช้เป็นมาตรการในการบอกโอกาสที่จะเกิดขึ้นของเหตุการณ์ว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้มากหรือน้อยเพียงใด โดยค่าความน่าจะเป็นมีค่าอยู่ระหว่าง 0 กับ 1
ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์
นิยาม ให้ S แทนแซมเปิลสเปซจากการทดลองสุ่ม โดยที่ผลลัพธ์แต่ละผลลัพธ์ใน S มีโอกาสเกิดขึ้นเท่า ๆ กัน และ E เป็นเหตุการณ์ ดังนั้น ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ E ซึ่งต่อไปจะเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ P(E) หมายถึงอัตราส่วนของ n(E) ต่อ n(S) นั่นคือ
ตัวอย่าง จากการโยนลูกเต๋า 2 ลูกใน 1 ครั้ง จงหาความน่าจะเป็นที่ผลรวมแต้มของลูกเต๋า 2 ลูก เท่ากับ 10
วิธีทำ S = {(1,1), (1,2), (1,3), (1,4), (1,5), (1,6), (2,1), (2,2), (2,3), (2,4), (2,5), (2,6),
(3,1), (3,2), (3,3), (3,4), (3,5), (3,6), (4,1), (4,2), (4,3), (4,4), (4,5), (4,6),
(5,1), (5,2), (5,3), (5,4), (5,5), (5,6), (6,1), (6,2), (6,3), (6,4), (6,5), (6,6)}
E = {(4,6), (5,5), (6,4)}
จะได้ว่า n(S) = 36 , n(E) = 3
ดังนั้น P(E) = n(E) / n(S) = 3/36 = 0.083 #
ตัวอย่าง การโยนเหรียญ 2 อัน 1 ครั้ง จงหาความน่าจะเป็นที่จะเหรียญจะขึ้นหัว 1 เหรียญ
วิธีทำ S = {HH, HT, TH, TT}, n(S) = 4
E = {HT, TH} , n(E) = 2
ดังนั้น P(E) = n(E) / n(S) = 2/4 = 0.5 #
หมายเหตุ
1. ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ใด ๆ ก็คือ ตัวเลขตัวหนึ่งซึ่งบอกให้เราทราบว่า เหตุการณ์นั้น ๆ มีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด เช่น ถ้า P(E) = แสดงว่า เหตุการณ์ E มีโอกาสเกิดขึ้นเพียง 1 ใน 2 หรืออาจจะกล่าวได้ว่า เหตุการณ์ E มีโอกาสเกิดขึ้นและไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเท่า ๆ กัน
2. ถ้า S เป็นเซตจำกัด เราทราบแล้วว่า 0 £ n(E) £ n(S) ดังนั้น 0 £ P(E) £ 1
3. P(E) = 0 ก็ต่อเมื่อ E = f
4. P(E) = 1 ก็ต่อเมื่อ E = S
การแจกแจงความน่าจะเป็น
ในการกระทำอย่างหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจมีลักษณะเป็นตัวเลข หรือไม่เป็นตัวเลขก็ได้
เช่น ถ้าโยนลูกเต๋า 1 ลูก แซมเปิลสเปซ คือ S = {1,2,3,4,5,6} เมื่อสมาชิกในแซมเปิลสเปช คือ แต้มที่เป็นไปได้ กรณีนี้แซมเปิลสเปซเป็นค่าตัวเลข
หรือ ถ้าโยนเหรียญ 2 อันพร้อมกัน แซมเปิลสเปซ คือ S = {HH, HT, TH, TT} ซึ่งแซมเปิลสเปซนี้ไม่เป็นตัวเลข ในบางครั้งเพื่อความสะดวกในการนำไปคำนวณ เราจึงกำหนดตัวเลขเพื่อใช้แทนสมาชิกในแซมเปิลสเปซ ตัวเลขเหล่านี้เรียกว่า ตัวแปรสุ่ม
นิยาม ตัวแปรสุ่ม (Random variables) (หรืออาจมองว่าเป็น ฟังก์ชัน ซึ่งใช้สัญลักษณ์ )
เราจะเรียกฟังก์ชันที่เกิดจากการความสัมพันธ์จาก แซมเปิลสเปช ไปยัง จำนวนจริง ว่า ตัวแปรสุ่ม
นั่นคือ หรือ เมื่อ เป็นจำนวนจริงใดๆ
หมายเหตุ โดเมนของ มีค่าเป็น
ประเภทของตัวแปรสุ่ม
- ตัวแปรสุ่มแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete random variable)
เป็นตัวแปรสุ่มที่แสดงค่าเป็นตัวเลข เป็นค่าที่ไม่ต่อเนื่องกัน แซมเปิลสเปซมีสมาชิกเป็นจำนวนที่นับได้ และมีRange เป็นจุด ๆ
- ตัวแปรสุ่มแบบต่อเนื่อง (Continuous random variable)
เป็นตัวแปรสุ่มที่แสดงค่าเป็นตัวเลข เป็นค่าที่ต่อเนื่องกัน แซมเปิลสเปซมีสมาชิกเป็นจำนวนที่นับไม่ได้ และมี Range เป็นช่วง เช่น ความสูง น้ำหนัก อุณหภูมิ ช่วงเวลา
ตัวอย่าง (ตัวแปรสุ่มแบบไม่ต่อเนื่อง) ถ้าให้ X เป็นจำนวนเหรียญที่ขึ้นหัวในการโยนเหรียญ 2 อัน นั่นคือ
เมื่อ ค่า 0 แทน TT , ค่า 1 แทน HT และ TH , และ ค่า 2 แทน HH
ซึ่งสามารถเขียนเป็นตารางแสดงแซมเปิลสเปซ และค่าของ X ดังนี้
Sample Space |
|
HH HT, TH TT |
2 1 0 |
ตัวอย่าง (ตัวแปรสุ่มแบบต่อเนื่อง) ให้ X แทนความสูงของนักเรียนให้ห้อง จะได้ว่า X มีค่าต่าง ๆ กัน โดยที่ค่าที่เป็นไปได้คือ cm
ความน่าจะเป็นของตัวแปรสุ่ม
เนื่องจากตัวแปรสุ่มเป็นการกำหนดค่าของเหตุการณ์ต่างๆ ให้เป็นตัวเลข ซึ่งทำให้เราสามารถหาความน่าจะเป็นของตัวแปรสุ่มได้ และเนื่องจากตัวแปรสุ่มมีทั้งแบบต่อเนื่องและไม่ต่อเนื่องเราจึงใช้นิยามที่ต่างกันดังนี้
การแจกแจงความน่าจะเป็นแบบไม่ต่อเนื่อง
นิยาม ให้ X เป็นตัวแปรสุ่มแบบไม่ต่อเนื่องซึ่งมีค่าเป็น ฟังก์ชัน ซึ่งกำหนดโดย
เมื่อ โดยที่
และ จะเรียก ว่า ฟังก์ชันของความน่าจะเป็น (Probability function) โดยที่ มีคุณสมบัติดังนี้
1. for all
2.
ตัวอย่าง การโยนเหรียญ 2 อัน 1 ครั้ง ถ้าให้ E = {HT, TH} ถ้าให้ X แทน จำนวนเหรียญที่ขึ้นหัว
ตัวอย่าง โยนเหรียญ 3 อัน ถ้า คือ ตัวแปรสุ่มที่แสดงจำนวนเหรียญที่ขึ้นหัว ดังนั้นค่าความน่าจะเป็นของตัวแปรสุ่ม ในทุก ๆ ค่าที่เป็นได้ สามารถเขียนเป็นตารางแสดงได้ดังนี้
เหตุการณ์ |
|
P(X = ) |
TTT HTT, THT, TTH HHT, HTH, THH HHH |
0 1 2 3 |
1/8 3/8 3/8 1/8 |
รวม |
1 |
กฎสำคัญบางประการของความน่าจะเป็น
ให้ A เป็นเหตุการณ์ใดๆ และ S เป็นแซมเปิลสเปซ สมบัติความน่าจะเป็นของ A ดังนี้
1. 0 P (A) 1
2. ถ้า A = { } แล้ว P (A) = 0 นั่นคือ P ( { } ) = 0
3. ถ้า A = S แล้ว P (A) = 1 นั่นคือ P(S) = 1
สมบัติของความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์
ให้ A และ B เป็นเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ใน S แซมเปิลสเปซ
1. P (A U B) = P (A) + P (B) – P (A ∩B)
2. P (A U B) = P (A) + P (B) เมื่อ A ∩B = { }
3. P (A) = 1 – P (A’)
4. P (A-B) = P (A) – P (A∩B)
ตัวอย่าง กำหนดให้ P (A) = 0.6 P (B’) = 0.4 และ P (A – B) = 0.2 จงหา P (A ‘∩B’)
จาก P (B’) = 0.4
จะได้ว่า P (B) = 1 – P (B’) = 1 – 0.4 = 0.6
จาก P (A) = 0.6 และ P (A – B) = 0.2
เนื่องจาก P (A) = P (A – B) + P (A ∩B)
(ถ้านักเรียนไม่เข้าใจให้เขียนแผนภาพทางด้านเซตดู)
0.6 = 0.2 + P (A ∩ B)
P (A ∩B) = 0.4
เนื่องจาก P (A’ ∩ B’) = P (A U B)’
= 1 – P (A U B)
จากสมบัติความน่าจะเป็น P (A’ ∩B’) = 1 – [P (A) + P (B) – P (A ∩B)]
= 1 – [0.6 + 0.6 – 0.4] = 1 – 0.8 = 0.2
ความน่าจะเป็นแบบเงื่อนไข
บางครั้งเราทราบว่าเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น เราต้องการหาความน่าจะเป็นที่อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น เรียกความน่าจะเป็นแบบนี้ว่า ความน่าจะเป็นแบบเงื่อนไข
ให้ A และ B เป็นเหตุการณ์ โดยที่ P (B) > 0 เขียน P (A/B) แทนความน่าจะเป็นของ A เมื่อกำหนดว่าเหตุการณ์ B เกิดขึ้นแล้ว
ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เป็นอิสระต่อกัน
พิจารณาในการโยนเหรียญ 1 อัน 2 ครั้ง จะเห็นว่าการที่การโยนเหรียญครั้งหนึ่งขึ้นหัวหรือก้อย ไม่มีผลต่อการขึ้นหัวหรือก้อยในการโยนครั้งที่สอง
เรากล่าวว่าการโยนทั้งสองครั้งเป็นอิสระต่อกัน
นิยาม เหตุการณ์ A และเหตุการณ์ B เป็นอิสระต่อกันก็ต่อเมื่อ P (A ∩B) = P (A) P (B)
ทฤษฎีบท เหตุการณ์ A และเหตุการณ์ B เป็นอิสระต่อกันก็ต่อเมื่อ P (A/B) = P (A)
เหตุการณ์ A และเหตุการณ์ B เป็นอิสระต่อกันก็ต่อเมื่อ P (B/A) = P (B)
ตัวอย่าง โยนลูกเต๋า 2 ลูก 2 ครั้ง จงหาความจะเป็นที่ผลรวมของแต้มแต่ละครั้งเท่ากับ 5
ให้ A แทนเหตุการณ์ที่ผลรวมของแต้มในการโยนครั้งที่ 1 เป็น 5
B แทนเหตุการณ์ที่ผลรวมของแต้มในการโยนครั้งที่ 2 เป็น 5
เนื่องจากการโยนลูกเต๋าแต่ละครั้งเป็นอิสระต่อกัน
ดังนั้นความน่าจะเป็นที่ผลรวมของแต้มแต่ละครั้งเป็น 5 เท่ากับ
P (A∩ B) = P (A) P (B)