ถิ่นกำเนิดเสาวรส
เสาวรส มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ในประเทศบราซิล ปารากวัย และอาร์เจนตินา แล้วมีการกระจายพันธุ์โดยการนำเสาวรสไปปลูกเพื่อประโยชน์ทางการค้าในหลายประเทศทั่วโลก เช่น อินเดีย นิวซีแลนด์ อินโดนีเซีย เปอร์โตริโก สาธารณรัฐโดมินิกัน สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อิสราเอล คอสตาริกา แอฟริกาใต้โปรตุเกส รวมถึงประเทศแถบทะเลแคริบเบียนและแอฟริกาตะวันออก
สำหรับในประเทศไทย เสาวรสถูกนำเข้ามาทดลองปลูกครั้งแรกในภาคเหนือ ประมาณปี พ.ศ. 2498 ปัจจุบัน พบปลูกมากในภาคเหนือ และภาคตะวันออก ในแถบจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เพชรบูรณ์ ระยอง และชลบุรี
ประโยชน์และสรรพคุณเสาวรส
- ใช้ทำเป็นครีมบำรุงผิว
- ต้านอนุมูลอิสระ
- ช่วยให้มีภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรง
- ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี
- สามารถช่วยขจัดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้
- ช่วยขับสารพิษในลำไส้ ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้อีกด้วย
- ช่วยในการบำรุงสายตาได้ดีเยี่ยม
- ใช้เป็นยาควบคุมธาตุ ถอนพิษ
- ใช้รักษาบาดแผล
- ใช้เป็นยาแก้ไข้
- รักษาผื่นคัน และรักษาโรคกามโรค
- ช่วยขับเสมหะ แก้ไอ
- ช่วยลดไขมันในเลือด
- ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ
- ช่วยลดความดับโลหิต
- รักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
เมล็ดพร้อมเยื่อหุ้มเมล็ดนำมาคั้นหรือปั่นเป็นน้ำผลไม้ดื่ม ให้รสเปรี้ยวจัด หรือปั่นผสมกับผลไม้อื่นที่มีรสหวาน เพื่อเพิ่มความหวาน อาทิ ประเทศทางแถบอเมริกาใต้นิยมนำเยื่อหุ้มเมล็ด และเปลือกมาปั่นผสมกับน้ำตาล ได้เครื่องดื่มที่เรียกว่า refresco หรือใช้ผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่น เช่น น้ำแอปเปิ้ล น้ำส้ม น้ำสัปปะรด น้ำพีช เป็นต้น โดยอัตราการผสมน้ำเสาวรสประมาณ 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติที่ดี ซึ่งเป็นที่นำยมกันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ เพราะนอกจากทำให้เครื่องดื่มมีกลิ่นหอมและรสชาติที่ดีขึ้นแล้ว ยังมีคุณค่าทางอาหารสูง และน้ำเสาวรสยังสามารถนำไปใช้แต่งกลิ่นและรสชาติของไอศกรีม ขนมเค้ก เยลลี่ เชอร์เบท พาย ลูกกวาด ไวน์ เป็นต้น และเยื่อหุ้มเมล็ดยังแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ เสาวรสผง แยมเสาวรส และเยลลี่เสาวรส ส่วนเปลือกเสาวรสมีคาร์โบไฮเดรต และโปรตีน สามารถนำมาตากแห้งหรือใช้สดเป็นอาหารเลี้ยงโค กระบือ แกะ แพะ และหมู ได้
ขอบคุณแหล่งข้อมูล https://www.disthai.com