ปกติผู้ประกอบการขนาดใหญ่จะใช้วิธีผลิตสินค้าจำนวนครั้งละมากๆ เพื่อให้ต้นทุนลดลง และทำการกระจายสินค้าไปยังสาขาหรือร้านค้าจำนวนมากซึ่งผู้ประกอบการขนาดเล็กไม่สามารถทำได้ เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงแต่เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้คนจนกลายเป็นไลฟ์สไตล์ที่ผู้คนมักซื้อสินค้าจากช่องทางออนไลน์มากที่สุดในปัจจุบันผู้ประกอบการรายย่อยจึงสามารถสร้างตลาดเป็นของตัวเองโดยใช้ช่องทางออนไลน์เป็นพื้นที่ในการจัดแสดงสินค้าและแนะนำตัวตนให้ลูกค้าได้รู้จัก
ตลาดดิจิตอลอาศัยการติดต่อสื่อสารเเบบทันท่วงทีกับลูกค้าและการเจาะจงให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจนจะทำให้ เราสามารถเลือกเครื่องมือการลงทุนได้เหมาะสมและไม่สิ้นเปลืองงบประมาณอีกด้วย การสร้างการรับรู้จากกลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าในอนาคต ให้เห็นถึงข้อดีที่พวกเขาจะได้รับหลังจากซื้อสินค้าชิ้นนั้นหรือใช้บริการให้มากที่สุด ได้อย่างอิสระ ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น Facebook, Twitter, Google+, Youtube, Instagram และอื่น ๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือการตลาดยอดนิยมสำหรับผู้ประกอบการทุกขนาด เพราะการสร้างความน่าเชื่อถือคือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ เนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายมักประสบปัญหาขาดความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้า อาจจะเป็นเพราะเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจทั้งจากชื่อเสียงและประสบการณ์มีไม่มากพอ รวมทั้งมีฐานลูกค้าน้อยเกินไป การสร้างฐานลูกค้าใหม่ในช่วงเเรกอาจจะเหนื่อยแต่เมื่อทำต่อเนื่องและอัพเดตขอมูลอยู่สม่ำเสมอก็ไม่อยากเกินไปที่จะประสบผลสำเร็จ
เริ่มต้นที่สร้างผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตลาด การตลาดแบบดั้งเดิมจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ผลิตภัณฑ์ได้ออกมาพร้อมขายแล้ว ผลก็คือนักการตลาดจำเป็นต้องโปรโมทสินค้าที่ไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้จริง ๆ แต่กลยุทธ์ Growth Hacking จะต้องมาเปลี่ยนข้อบกพร่องนี้ด้วยการศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้เป้าหมายว่า พวกเขาสามารถค้นพบและปรับใช้ผลิตภัณฑ์ของเราได้อย่างไร จากนั้นคุณก็สร้างฟีเจอร์ฉลาด ๆ เพื่อช่วยขยายและรักษาฐานผู้ใช้ได้ ที่สำคัญจะต้องใช้งานง่าย
หลังจากนั้นก็ค้นหาช่องโหว่เพื่อเริ่มกลยุทธ์ Growth Hacking ย้ำกันอีกครั้งว่า คำว่า Hack หมายถึงการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เพื่อค้นหาโอกาสในการสร้างการเติบโต ตัวอย่างเช่น ทิม เฟอร์ริสส์ นักเขียนชื่อดังที่เป็นเจ้าของหนังสือขายดีมากมาย ได้ปล่อยเนื้อหาบางตอนในหนังสือเล่มล่าสุดของเขาบน BitTorrent ซึ่งเป็นการโปรโมทหนังสือเล่มใหม่ที่ได้ผลชะงัดนักด้วยยอดขายถล่มทลายกว่า 250,000 ฉบับ ลองลืมวิธีการโปรโมทแบบเดิม ๆ อย่างข่าวพีอาร์กับการซื้อพื้นที่ลงโฆษณาดูแล้วหาทางใหม่ ๆ เพื่อสร้างความเป็นไปได้อันน่าเหลือเชื่อ
ตามด้วยการสร้างไวรัล หลังจากที่คุณได้ผู้ใช้งานคนแรกมา คำถามต่อไปคือ ทำอย่างไรถึงจะทำให้ผู้ใช้งานมีจำนวนมากขึ้น แน่นอนว่าไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณกลายเป็นไวรัล (Viral) ซึ่งหมายถึงการสร้างการบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word of Mouth) ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถโปรโมทอย่างต่อเนื่องด้วยตัวของมันเอง ยกตัวอย่างการทำไวรัลในตำนานอย่าง Hotmail ที่ได้ใส่ประโยค “PS: I Love You. Get Your Free Email at Hotmail” ในทุก ๆ อีเมลที่ส่งออก ผลคือจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น 1 ล้านคนภายใน 6 เดือน และ 10 ล้านคนภายใน 1 ปี
ขั้นตอนสุดท้าย คือ การรักษาฐานผู้ใช้งานด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ อะไรจะดีกว่ากัน ระหว่างการมีผู้ใช้งานแอปพลิเคชันของคุณ 5 แสนคนที่จ่ายเงินคุณคนละ 5,000 บาท กับการมีผู้ใช้ 10 ล้านคนแต่จ่ายเงินให้คุณเพียงคนละ 50 บาท สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การเสาะหาผู้ใช้งานหน้าใหม่ แต่รวมไปถึงการรักษาฐานผู้ใช้ที่มีอยู่เดิมด้วยการคอยรับฟังเสียงจากลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานแบบตอบโจทย์โดนใจลูกค้ามากที่สุด
ขอบคุณแหล่งข้อมูล https://www.krungsri.com/