วิธีคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) และ วิธีคิดแบบตายตัว( Fixed Mindset)
วิธีคิดที่เปลี่ยนความล้มเหลว เปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นของขวัญ เป็นกำลังใจให้เราพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ คุณสมบัติหรือทักษะที่เรามี เช่น ความฉลาด ความรู้ความสามารถ เราสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ได้จากความพยายาม เราฉลาดรอบรู้ขึ้นได้ ขอเพียงแค่เราไม่เสียกำลังใจในวันที่ล้มเหลว และคิดว่ามันคือช่วงเวลาที่เราจะได้เรียนรู้ บทเรียนจากความผิดพลาด
สิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ในบทความนี้
- ทำไมวิธีคิดแบบเติบโตจึงสร้างโอกาสได้มากกว่า
- รู้จักความแตกต่างของวิธีคิดแบบตายตัวและวิธีคิดแบบเติบโต
- คนเรามีวิธีคิด มีอยู่ 2 ประเภท คือคนที่มีวิธีคิดแบบตายตัว และคนที่มีวิธีคิดแบบเติบโต
- คนที่มีวิธีคิดแบบตายตัวคือคนที่ไม่เชื่อว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงได้
- คนที่มีวิธีคิดแบบเติบโตคือคนที่เชื่อว่าคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เสมอ
- คำชมที่เด็กได้รับจากผู้ใหญ่ คำชมจะส่งผลให้เด็กคิดแบบตายตัวและหลีกเลี่ยงความท้าทาย
- คนที่มีวิธีคิดแบบตายตัวต้องการพิสูจน์ตัวเอง คนที่มีวิธีคิดแบบเติบโตต้องการพัฒนาตนเอง
- คนที่มีวิธีคิดแบบตายตัวจะมองว่าความล้มเหลวคือหายนะ แต่คนที่มีวิธีคิดแบบเติบโตจะมองว่ามันคือโอกาส
- คนที่มีวิธีคิดแบบตายตัวไม่คิดว่าเค้าสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ แต่มองว่าความผิดพลาดเป็นหลักฐานว่าพ่ายแพ้และไม่ดีพอ และมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป
- คนที่มีวิธีคิดแบบตายตัวมักจะต้องการความมั่นใจ และพยายามรักษาความมั่นใจนั้นไว้ โดยการโทษคนอื่น หาขอแก้ตัว โกง จะไม่หาทางหรือคิดวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ฝึกฝนพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น มองว่าตัวเองเป็นได้แค่นี้
- คนที่มีวิธีคิดแบบตายตัวมักจะหลีกเลี่ยงปัญหา เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยาก ท้าทาย เค้าจะมองว่ามันเป็นความเสี่ยง
Growth Mindset และ Fixed Mindset
ในโลกนี้มีคนอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรกคือคนที่เปิดกว้างที่จะเรียนรู้ กับคนที่ปิดกั้นตัวเองจากการเรียนรู้ วิธีคิดที่แตกต่างทั้งสองแบบนี้ส่งผลกระทบกับมุมมองที่มีต่อโลกและคนรอบตัวเรา Carol ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Mindset เค้าได้ค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของวิธีคิดทั้งสองแบบ สิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ในบทความนี้คือความจำเป็นที่เราจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิด
เราจะสังเกตได้ว่าบางคนจะฉลาดกว่าคนอื่นๆ เป็นคนที่มีความคิดมาว่าคนทั่วไป และเราก็มักจะเข้าใจว่าความแตกต่างนี้เกิดจากสภาพแวดล้อมและยีนส์ของแต่ละคน แต่ก็ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อคุณสมบัติที่แตกต่างในแต่ละคน รวมถึงวิธีคิดแบบตายตัวและวิธีคิดแบบเติบโต
คนที่มีวิธีคิดแบบตายตัวคือคนที่เชื่อว่าตัวเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คนเหล่านี้ไม่เชื่อว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติหรือกลายเป็นคนที่ฉลาดมากขึ้นได้ และยังเป็นคนที่มักจะต้องการพิสูจน์ตัวเองอยู่เสมอ ตอนเด็กๆ ครูหรือพ่อแม่ต่างก็มีส่วนทำให้เรามีวิธีคิดแบบตายตัว
ส่วนคนที่มีวิธีคิดแบบเติบโตคือคนที่เชื่อว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนคุณสมบัติได้เรื่อยๆ เชื่อว่ายังมีโอกาสที่จะเติบโตได้ ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรค
คนเราคิดแตกต่างกันยังไง
เราแต่ละคนต่างก็มีความสามารถในการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต สมองเราพัฒนาได้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเราแต่ละคนอาจจะเกิดมาด้วยยีนส์ที่แตกต่างกัน ทำให้บางคนมีคุณสมบัติ มีพื้นฐานที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับว่า ประสบการณ์ การฝึกฝน ความพยายาม จะเป็นสิ่งที่ทำให้คนประสบผลสำเร็จ
The major factor in whether people achieve expertise is not some fixed prior ability, but purposeful engagement.–Robert Sternberg
ในช่วงเริ่มต้นของชีวิต คนที่ฉลาดที่สุดในตอนแรกๆ ไม่ได้หมายความว่าจะกลายเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในตอนท้าย
คนที่มีวิธีคิดแบบตายตัว มักจะด่วนตัดสินว่า ตัวเองมีปัญญา มีความพยายาม มีความสามารถอยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น เป็นคนที่ไม่ว่าในสถานการณ์อะไรก็ตาม มักจะกังวลอยู่เสมอว่า ด้วยปัญญาและด้วยคุณสมบัติของตัวเองที่มีอยู่เท่านี้ เราจะทำได้หรือเปล่า ถ้าทำไม่ได้คนอื่นจะมองว่าเราเป็นคนไร้ความสามารถหรือเปล่า เราจะถูกมองข้ามหรือเปล่า เราจะรู้สึกว่าเป็นคนที่พ่ายแพ้หรือเปล่า
ส่วนคนที่มีวิธีคิดแบบเติบโต เชื่อว่าคุณสมบัติพื้นฐานของแต่ละคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้จากความพยายาม ถึงแม้ว่าคนเราจะเริ่มต้นไม่เท่ากัน แต่ทุกคนสามารถพัฒนาและเติบโตด้วยการฝึกฝนและเรียนรู้จากประสบการณ์ ตลอดเวลาหลายปีที่พยายามมุ่งมั่นฝึกฝน คนเหล่านี้เชื่อว่าศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ คนเหล่านี้ไม่ปกปิดจุดอ่อนของตัวเอง แต่แก้ไขและเอาชนะมัน คนเหล่านี้ไม่สนใจที่จะลองทำตามสิ่งที่ถูก แต่ประสบการณ์การลองผิดจะผลักดันและทำให้เรียนรู้ได้มากกว่า
ความมุ่งมั่นพยายามทำ ท้าทายตัวเอง ยึดมั่นอยู่กับมันถึงแม้ว่าจะยังทำได้ไม่ดีก็ตาม สิ่งนี้เป็นเครื่องหมายของคนที่คิดแบบเติบโต เป็นวิธีคิดที่จะทำให้เราเติบโตขึ้นได้ถึงแม้ว่าจะต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก
เราไม่มีอะไรที่ต้องเสีย ถึงแม้ว่าเราจะยังทำไม่ได้ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่มีความสามารถ แต่โรมก็ไม่ได้สร้างได้ในวันเดียว ตัวเราเองก็เช่นกัน
จากการสำรวจกลุ่มคนที่ทำงาน Creative พบว่าสิ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จในงาน คือการที่ไม่ยอมแพ้ ไม่ล้มเลิกง่ายๆ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของคนที่คิดแบบเติบโต
ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ทักษะ เช่น ความน่าเชื่อถือ ความร่วมมือ การเอาใจใส่ หรือทักษะการเข้าสังคม คนที่มีวิธีคิดแบบตายตัว จะสนใจแต่ว่าคนอื่นๆ จะมองเรายังไง แต่คนที่คิดแบบเติบโตจะสนใจแต่การพัฒนาตนเอง
การเรียนรู้ การพิสูจน์ความสามารถ และความสำเร็จ
มันมีทางให้เราเลือก วิธีคิดก็เป็นความเชื่ออย่างหนึ่ง และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและอยู่ในใจเรา เราสามารถเปลี่ยนใจได้ ลองคิดดูว่าถ้าเราเปลี่ยนใจ เปลี่ยนวิธีคิด มันจะนำพาเราไปได้ไกลแค่ไหน
เด็กทารกไม่ได้สนใจว่าจะทำผิดพลาด หรือไม่กังวลว่าคนอื่นๆ จะหัวเราะเยาะ เด็กทารกเรียนรู้ที่จะยืน ถึงแม้ว่าจะล้มลง เรียนรู้ที่จะเดิน และก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น
แต่หลังจากที่เด็กเริ่มเรียนรู้ที่จะประเมินตัวเอง ก็จะกลายเป็นคนที่กลัวความล้มเหลว กลัวว่าจะถูกมองว่าเป็นเด็กไร้ความสามารถ ไม่ฉลาด และในที่สุดก็ทำให้ไม่สนใจเรียนรู้
เด็กที่คิดแบบตายตัวต้องการความมั่นใจ และทำแต่สิ่งที่ตัวเองมั่นใจว่าทำได้ แต่สำหรับเด็กที่คิดแบบเติบโต ความสำเร็จคือการได้ผลักดันตัวเอง คือการที่ได้เรียนรู้และกลายเป็นคนฉลาดขึ้นเรื่อยๆ
เด็กที่คิดแบบเติบโตจะมองว่าความสำเร็จคือการได้เรียนรู้ มองหาโอกาสที่จะได้เรียนรู้ แต่เด็กที่คิดแบบตายตัว จะไม่ต้องการเปิดเผยปมด้วย หรือจุดอ่อนของตัวเอง แต่ต้องการรู้สึกแค่ว่าเป็นคนฉลาด ถูกมองว่าเป็นคนเก่ง
คนที่คิดแบบตายตัวจะสนใจทำแต่เรื่องที่มันตรงกับความสามารถที่ตัวเองถนัด คนที่คิดแบบเติบโตจะสนใจและให้ความสำคัญกับเรื่องที่มันจะขยายขอบเขตความรู้ของตัวเองออกไป และเลือกโอกาสที่จะได้เรียนรู้ มากกว่าความสำเร็จในระยะสั้นที่อยู่ตรงหน้า
งานวิจัยทำให้เรารู้ว่า ความเป็นเลิศในแต่ละด้านไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ แต่เกิดจากการเรียนรู้และฝึกฝน เช่น Mozart ใช้เวลานับ 10 ปี ก่อนที่จะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้
ความสำเร็จกับความท้าทาย และโอกาสที่จะได้เรียนรู้
คนที่คิดแบบตายตัวจะมองหาคนที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่พิเศษ คนที่จะเติมเต็มและทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ คนที่จะคอยยกย่องและชื่นชม
คนที่คิดแบบเติบโตจะมองหาคนที่แตกต่าง คนที่จะคอยมองหาและบอกจุดบกพร่องและคอยช่วยแก้ไข คนที่จะท้าทายเพื่อให้เรากลายเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม คนที่จะกระตุ้นให้เราเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
คนที่คิดแบบเติบโตไม่เพียงแค่มองหาโอกาสที่ท้าทาย แต่ยังโดดเด่นและพยายามทำได้ดี ยิ่งท้าทายมากเท่าไหร่ ก็จะพยายามมากยิ่งขึ้นและเติบโตมากขึ้น
แต่คนที่คิดแบบตายตัวก็ประสบผลสำเร็จได้เช่นกัน แต่เฉพาะในสถานการณ์ที่เค้ามีความมั่นใจว่าจะทำได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีความท้าทาย มีความเสี่ยงที่จะทำไม่สำเร็จ เสี่ยงที่คนอื่นจะมองว่าเป็นคนไร้ความสามารถ คนเหล่านี้ก็จะไม่สนใจ
คนที่คิดแบบตายตัวจะคาดหวังว่าตัวเองจะมาพร้อมกับความสามารถ ไม่ต้องเรียนรู้ ไม่ต้องฝึกฝนก็จะทำได้ และสุดท้ายก็จะคิดว่า ถ้าเราไร้ความสามารถ ไม่มีพรสววรค์ด้านนี้ เราก็จะไม่มีทางทำได้ ถ้าเราทำได้ก็เป็นเพราะเรามีพรสวรรค์ในด้านนี้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็จะขาดความมั่นใจและคิดว่าไม่มีพรสวรรค์ และก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไป
วิธีคิดและผลการเรียนของเด็ก
นักเรียนที่มีวิธีคิดแบบเติบโตมีวิธีจัดการกับความกังวลเพื่อที่จะยังคงให้ความสนใจในการเรียน ในขณะที่นักเรียนที่มีวิธีคิดแบบตายตัวมักจะกลายเป็นคนที่ไม่กระตือรือร้น
เด็กที่มีวิธีคิดแบบเติบโตจะชอบความท้าทายและชอบการแก้ปัญหา ยิ่งแก้ปัญหายากๆ ได้ ก็จะเรียนรู้ได้มากขึ้น ผลการเรียนอาจจะบอกถึงสถานะในปัจจุบัน แต่เด็กที่มีวิธีคิดแบบนี้เชื่อว่าเค้าสามารถขยันเรียนรู้มากขึ้นได้อีก เด็กเหล่านี้ไม่สนใจผลการเรียนของตัวเอง ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ แต่สนใจแค่การพัฒนาตนเอง และพอใจอยู่กับการท้าทายตัวเอง เพื่อไปให้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกีฬา ดนตรี หรือศิลปะ การฝึกฝนอยู่ตลอดเวลาเป็นหนทางที่จะทำให้พัฒนาขึ้นได้เรื่อยๆ บางครั้งอาจจะล้มเหลว แต่ก็มองว่าเป็นโอกาสที่ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ
เด็กที่คิดแบบเติบโตจะมองว่าผลการเรียนหรือคะแนนสอบไม่ได้วัดความสามารถ ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนฉลาด เด็กที่คิดแบบเติบโต จะรู้และมองว่ามันต้องใช้เวลาที่จะพัฒนาตนเองและเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริง
เด็กที่มีวิธีคิดแบบตายตัว ถ้าเรียนได้เกรดต่ำ ก็จะเชื่อว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ถนัดวิชานั้นๆ ส่วนเด็กที่มีวิธีคิดแบบเติบโต ก็จะคิดว่าตัวเองจะต้องตั้งใจเรียนหนักมากขึ้น เพื่อให้สอบได้คะแนนดีๆ แต่เด็กที่คิดแบบตายตัวจะมองว่าคะแนนเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้วัดความสามารถ และเชื่อว่ามันจะบอกได้ว่าคนไหนฉลาดกว่ากัน และมันจะบอกว่าใครจะโตขึ้นและเป็นคนฉลาด และนั่นก็ทำให้ความสำเร็จในการเรียนและการสอบได้คะแนนดีมีผลกับเด็กมาก
คนที่คิดแบบตายตัวห่วงเรื่องความสำเร็จมากกว่าคนที่คิดแบบเติบโต สิ่งที่เค้าต้องการพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเป็นคนพิเศษกว่าใคร เหนือกว่า มีพรสวรรค์และแตกต่างจากคนอื่นๆ
และความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งที่ทำให้คนที่คิดแบบตายตัวยิ่งต้องมองหาความสำเร็จ มองหาสิ่งที่จะยืนยันและพิสูจน์ความพิเศษของตัวเอง พิสูจน์ว่าตัวเองมีค่ามากกว่าใคร
คำถามที่เกิดขึ้นคือ ถ้าเราเป็นคนพิเศษในเวลาที่ประสบผลสำเร็จ แล้วในเวลาที่เราล้มเหลว เราจะเป็นตัวอะไร
ความล้มเหลวเกิดจากการทำผิดพลาด ส่งผลให้เกิดความคิดที่ว่า เราเป็นคนทำพลาด และเราเป็นคนล้มเหลว ความคิดแบบนี้เกิดขึ้นได้บ่อยในคนที่คิดแบบตายตัว ความล้มเหลวเพียงครั้งเดียวก็ส่งผลกระทบ ทำให้หลอกหลอนไปอีกนาน
แต่ความล้มเหลวก็ส่งผลกระทบต่อคนที่คิดแบบเติบโตได้เช่นกัน เป็นเรื่องที่ทำให้เจ็บใจได้เหมือนกัน แต่คนแบบนี้จะไม่คิดว่าความล้มเหลวเป็นสิ่งที่บอกว่าเราเป็นคนล้มเหลว มันเป็นเพียงแค่ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญ และเรียนรู้จากมัน
แทนที่จะเรียนรู้และพยายามแก้ไขความผิดพลาด คนที่คิดแบบตายตัวมักจะพยายามรักษาความมั่นใจในตนเอง โดยการมองไปที่คนที่ด้อยกว่าตัวเอง ปลอบใจให้ตัวเองยังคงมั่นใจและรู้สึกดี นอกจากนั้นยังพยายามผลักความผิดไปให้คนอื่น และหาข้ออ้างอยู่เสมอ
แต่คนที่คิดแบบเติบโตมักจะมองไปยังคนที่ดีกว่าตัวเอง และมักจะแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แก้ไขจุดบกพร่องของตัวเอง ไม่พยายามปลอบใจตัวเองด้วยการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่ด้อยกว่า
You’re a failure until you start to blame. –John Wooden
ถึงแม้ว่ามันจะเกิดความผิดพลาด ถึงแม้ว่าจะพ่ายแพ้ แต่ถ้าเราไม่หาข้ออ้างแก้ตัว เราก็จะยังคงเรียนรู้จากความผิดพลาดได้เสมอ
วิธีคิดและความผิดพลาด
ความผิดพลาดจะทำให้คนที่มีวิธีคิดแบบตายตัวโทษตัวเอง และความมั่นใจในตัวเองลดลง คิดว่าตัวเองไม่คู่ควร ไม่เป็นที่ต้องการ คนเหล่านี้มักจะชอบปกปิดข้อบกพร่องของตัวเอง และไม่คิดว่าความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ หรือไม่คิดว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงได้
ตรงข้ามกับคนที่มีวิธีคิดแบบเติบโต ที่จะเชื่อว่าคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เชื่อว่าตัวเองสามารถเติบโต และมักจะพัฒนาตนเอง ชอบการเรียนรู้ เรียนรู้อยู่เสมอ