จำนวนเชิงซ้อน
ในระบบจำนวนจริง สมการพหุนามบางสมการ เช่น x2 + 1 = 0 ไม่มีคำตอบ เนื่องจากกำลังสองของจำนวนจริงใดๆ จะมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับศูนย์เสมอ ในบทนี้ทุกสมการได้เสมอ และเรียนจำนวนในระบบที่สร้างขึ้นใหม่นี้ว่าจำนวนเชิงซ้อน (complex numbers) ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาในเรื่องการมีคำตอบของสมการพหุนามใดๆ แล้ว ยังสามารถนำไปประยุกต์อย่างกว้างขวางกับสาขาต่างๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ เช่น วงอิเล็กทรอนิกส์ กลศาสตร์ กลศาสตร์ของไหล ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น
– การสร้างจำนวนเชิงซ้อน (Construction of Complex Numbers )
จากการที่กล่าวข้างต้นว่า สมการพหุนาม X2 + 1 = 0ไม่มีคำตอบเป็นจำนวนจริง แต่นักคณิตศาสตร์ต้องการสร้างระบบจำนวนซึ่งขยายออกไปเพื่อให้สามารถครอบคลุมทุกคำตอบของสมการพหุนามทั้งหมดได้ ดังนั้นจึงจะพิจารณาเซตที่มีจำนวนจริงเป็นสับเซต
บทนิยาม จำนวนเชิงซ้อน คือ คู่อันดับ (a , b) เมื่อ a และ b เป็นจำนวนจริงและกำหนดการเท่ากัน การบวกและการคูณของจำนวนเชิงซ้อน ดังนี้
สำหรับจำนวนเชิงซ้อน (a, b) และ (c, d)
1. การเท่ากัน
(a , b) = (c, d) ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d
2. การบวก
(a, b) + (c, d) = (a + c , b + d)
3. การคูณ
(a, b) *(c, d) = (ac-bd , ab + bc)
เราอาจแทน ด้วย (a, b)(c, d) ก็ได้
เซตของจำนวนเชิงซ้อนแทนด้วยสัญลักษณ์ C
ตัวอย่างที่ 1 จงหาผลบวกและผลคูณของจำนวนเชิงซ้อน(-1, 2) และ (3, – 4)
วิธีทำ ( – 1, 2)+(3 – 4) = ( – 1 + 3, 2 – 4)
= (2, – 2)
( – 1 , 2)(3, 4) = (( – 1)3 – 2( – 4), ( – 1)( – 4)+2.3)
= ( – 3 + 8 , 4+6)
= (5 , 10)
พิจารณาจำนวนเชิงซ้อนที่อยู่ในรูป (x , 0) จะเห็นว่า
(a , 0) + (b , 0) = (a + b , 0)
(a, 0 )(b , 0) =
ซึ่งจะเหมือนกับการบวก และการคูณจำนวนจริง ฉะนั้นเราสามารถมองจำนวนเชิงซ้อนในรูป (a , 0) ว่าเป็นจำนวนจริง a ตามข้อสังเกตนี้จะได้ว่า เซตของจำนวนจริงเป็นสับเซตของเซตของจำนวนเชิงซ้อน เมื่อเราแทนจำนวนเชิงซ้อน (a , b) ด้วยจุด (a , b) ในระนาบ XY จะได้ว่าจำนวนจริง a แทนได้ด้วยจุด (a , 0) บนแกน X นั่นเอง
บทนิยาม
สำหรับจำนวนเชิงซ้อน z = (a , b) เมื่อ a และ b เป็นจำนวนจริง
เรียก a ว่าส่วนจริง (real part) ของ z และแทนด้วย Re(z)
เรียก b ว่าส่วนจินตภาพ (imaginary part) ของ z และแทนด้วย Im(x)
จากบทนิยามนี้ อาจกล่าวได้ว่า จำนวนจริงก็คือ จำนวนเชิงซ้อนที่มีส่วนจินตภาพเป็นศูนย์ จำนวนเชิงซ้อนที่มีส่วนจริงเป็นศูนย์ แต่ส่วนจินตภาพไม่ใช่ศูนย์ เรียกว่า จำนวนจินตภาพแท้ (purely imaginary number)
ต่อไปพิจารณาจำนวนเชิงซ้อน (0, 1)
(0, 1) (0, 1) = (0 – 1, 0+0) = ( – 1, 0)
ซึ่งจำนวนเชิงซ้อน ( – 1 , 0) คือจำนวนจริง – 1 นั่นเอง เขียนแทนจำนวนเชิงซ้อน (0, 1) ด้วยสัญลักษณ์ i จะได้ว่า
I2 = -1
สำหรับจำนวนเชิงซ้อน (a , b) ใดๆ
(a , b) = (a , 0) + (0, b)
= (a, 0) +(b, 0) (0, 1)
= a + bi
ฉะนั้น จำนวนเชิงซ้อน (a, b) สามารถเขียนแทนได้ด้วยสัญลักษณ์ a+ bi
กำหนดสัญลักษณ์ของจำนวนเชิงซ้อนในรูป a + bi เมื่อ a และ b เป็นจำนวนจริง ทำให้การคำนวณเกี่ยวกับจำนวนเชิงซ้อนสามารถทำได้โดยง่ายโดยใช้สมบัติต่างๆ เกี่ยวกับการบวกและการคูณ เช่นเดียวกับสมบัติของการบวกและคูณของจำนวนจริง และมีข้อมูลตกลงว่า I2 = -1 เช่น
(a + bi) + (c + di) = (a+c)+(bi+di)
= (a+c) + (b+d)i
(a + bi)(c +di) = a(c+di)+bi(c+di)
= ac + adi + bci + bdi2
= (ac – bd) + (ad+bc)i
a + bi = c+ di ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = b
ต่อไป เมื่อกล่าวว่า z = a + bi เป็นจำนวนเชิงซ้อน จะถือว่า a และ b เป็นจำนวนจริงโดยไม่ต้องกล่าวซ้ำอีก
ตัวอย่างที่ 2 จงหาผลบวกและผลคูณของจำนวนเชิงซ้อน 3+ 2i และ 1 – i
วิธีทำ (3+ 2i) + (1 – i) = (3+1) + (2 – 1) i
= 4 + i
(3+2i) (1 – i) = 3(1 – i)+2i(1 – i)
= 3 – 3i + 2i + 2i2
= (3+2) + ( – 3+2) i
= 5 – i
ตัวอย่างที่ 3 จงหาจำนวนจริง a , b ทีทำให้ (a+2i) + ( – 1+2bi) = 3 + 8i
วิธีทำ เนื่องจาก (a + 2i) + ( – 1 + 2bi) = (a – 1) + (2+ 2b)i
ฉะนั้น a – 1 = 3 และ 2 + 2b = 8
ดังนั้น a = 4 และ b = 3
ตัวอย่างที่ 4 จงหาผลคูณ 1+ i , 2+ i และ – 1 + 3i
วิธีทำ (1+ i)(2+i)( – 1+3i) = [(2 – 1) + (1 + 2 ) i ] ( – 1 +3i)
= (1 + 3i) ( – 1 + 3i)
= ( – 1 – 9)+(3 – 3) i
= – 10 + 0i
= – 10
ข้อสังเกต เมื่อกำหนด i0 = 1แล้ว จะได้ สำหรับ m I+ {0}
I4m = 1, i4m + 1 = I , i4m + 2 = -1, i4m + 3 = i
สมบัติที่เกี่ยวกับการบวกและการคูณของจำนวนเชิงซ้อน
ถ้า Z1 , Z2 , Z3 ,เป็นจำนวนเชิงซ้อน แล้วจะได้ว่า
1. Z1 + Z2 = Z2 + Z1 และ Z1Z2 = Z2Z1 (สมบัติการสลับที่)
2. Z1 + (Z2 + Z3) = (Z1+Z2) + Z3 และ Z1(Z2Z3) = (Z1Z2) Z3 (สมบัติการเปลี่ยนกลุ่ม)
3. Z1(Z2 + Z3) = Z1Z2 + Z1Z3 (สมบัติการแจกแจง)
สมบัติเชิงพีชคณิตของจำนวนเชิงซ้อน
สมบัติของพีชคณิตนั้นจะมีนอกจากการบวกเเละการคูณ โดยจะมีหัวข้อใหญ่ๆดังต่อไปนี้
พิจารณาการบวกจำนวนเชิงซ้อนต่อไปนี้
(a, b) + (0 , 0) = (a+0, b+0) = (a, b)
ทำนองเดียวกัน (0 , 0) + (a, b) = (a, b)
ดังนั้น (0 , 0) เป็นเอกลักษณ์การบวกในระบบจำนวนเชิงซ้อน
หากลองพิสูจน์อีกรูปเเบบนั่นคือ (a, b) + ( – a, – b) = (a – a, b – b) = (0, 0)
และ ( – a, – b) + (a , b) = (0 , 0)
ดังนั้น ( – a, – b) เป็นตัวผกผันการบวกของ (a , b)
หรือ – a – bi เป็นตัวผกผันการบวกของ a + bi
ตัวผกผันการบวกของจำนวนเชิงซ้อน z เขียนแทนด้วย – z
ฉะนั้น – (a +bi) = – a – bi หรือเป็นการกระจายการลบนั่นเอง
ตัวอย่าง
ตัวผกผันการบวกของ ( – 8 , 2) คือ (8, – 2)
ตัวผกผันการบวกของ -4+3i คือ 4 – 3i
ตัวผกผันการบวกของ 2 – 3i คือ – 2+ 3i
ซึ่งจากบทข้างต้นนั้น เราจะนิยามการลบกันของจำนวนเชิงซ้อน ดังนี้
z – w = z + ( – w) สำหรับจำนวนเชิงซ้อน z, w ใดๆ
การหารจำนวนเชิงซ้อน
เมื่อกำหนดจำนวนเชิงซ้อนที่ไม่เท่ากับ(0, 0) มาให้ จะหาตัวผกผันการคูณของจำนวนเชิงซ้อนนี้ได้เสมอ ดังนั้นอาจนิยามการหารจำนวนเชิงซ้อนz ด้วย w เมื่อ W (0,0) โดยอาศัยตัวผกผันการคูณของจำนวนเชิงซ้อนที่เป็นตัวหารได้ดังนี้
จากบทนิยาม ถ้า z = a+bi และ w = c+di
อีกทฤษฏีหนึ่งกล่าวว่า z = a+bi เป็นจำนวนเชิงซ้อน จะเรียกจำนวนเชิงซ้อน
a – bi ว่าเป็นสังยุค (conjugate) ของ z และเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์
สมบัติของสังยุคของจำนวนเชิงซ้อน
ให้ z, z1 และ z2 เป็นจำนวนเชิงซ้อน จะได้ว่า
ตัวอย่าง
จงใช้สังยุคของตัวหารช่วยในการหาผลหารของการหาร 2 – i ด้วย 3 + 2i
วิธีทำ