การก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยระดับโลก ก็เท่ากับว่าประสบความสำเร็จทางด้านอาชีพไปครึ่งหนึ่งแล้ว แม้จะไม่ง่ายแต่ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม คุณ Jamie ได้แชร์เทคนิคที่ใช้แล้วได้ผลกับตัวเอง
1. จงคิดถึงสิ่งที่เราอยากทำ
และอย่าให้ใครมาบอกว่าเราทำมันไม่ได้ จงฝันให้ใหญ่ แต่ตั้งมั่นด้วยการค่อยๆ ก้าวขั้นเล็กๆ ไปทีละขั้น (DREAM BIG – but with small steps)
“ฝันให้ใหญ่ แต่เริ่มด้วยขั้นตอนเล็กๆ ทีละก้าว” จุดเริ่มต้นของความสำเร็จอาชีพในอนาคต คือสิ่งที่เราจะอยู่กับมันตลอดไปหลังพ้นจากชีวิตในวัยเรียน ซึ่งการคิดถึงอาชีพของเราในอนาคตมีความสำคัญมากตั้งแต่ในวัยเรียน เพราะกว่าจะตกตะกอนความคิดได้ว่าเราจะมีอาชีพอะไรนั้น ก็ต้องมาจากการเริ่มสำรวจตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราชอบวิชาอะไร ชอบทำกิจกรรมอะไรบ้าง ในขณะที่อยู่ในโรงเรียน นี่คือจุดเริ่มต้นของทั้งหมด
2. เป้าหมายต่อไป (Next goal) ของเรานั้นสำคัญ
เมื่อเรามีความฝันแล้ว ให้เริ่มจากการให้ความสำคัญกับเป้าหมายเล็กๆอันจะเป็นจิ๊กซอว์ที่ประกอบขึ้นไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งการที่เราจะไปถึงอาชีพที่เราใฝ่ฝันได้นั้น ก่อนอื่นคือการเรียนหนังสือให้ดี โดยเฉพาะเรียน IGCSEs และสอบ A Levels ให้ได้ตามเป้าของเราก่อน ก่อนที่จะไปถึงฝันที่สำคัญ
3. สัมผัสประสบการณ์กับอาชีพที่อยากจะทำ (Work experience)
จงพยายามหาประสบการณ์จากอาชีพต่างๆที่เราอยากจะทำในอนาคตเพื่อที่จะได้รู้ว่าจริงๆแล้วเรารักอาชีพนี้หรือบางทีเราอาจจะเกลียดอาชีพนี้ก็ได้ โดยวิธีการคือ การค้นหาข้อมูลด้วยตนเองและถามความรู้จากผู้มีประสบการณ์ตรง โดยสาขาอาชีพนั้นแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ สาขาอาชีพที่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ (Vocational degree) เช่น แพทย์และเภสัชกร กฎหมาย ครู บริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ ในสาขาวิชาชีพนี้
โดยทั่วไปเมื่อเรียนแล้วจบออกมาแล้วก็ประกอบอาชีพนี้ไปตลอดเลย ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนอาชีพ ดังนั้นการสัมผัสกับประสบการณ์ของอาชีพต่างๆแต่เนิ่นๆ อย่างที่คุณ Jamie ได้บอกไว้ จะทำให้เราชัดเจนในเรื่องความชื่นชอบวิชานั้นๆและช่วยทำให้ตัดสินใจที่จะเรียนหรือไม่เรียนสาขาวิชาชีพนั้นๆได้ดีขึ้น อีกประเภทหนึ่งคือสาขาวิชาชีพที่ไม่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ (Non-vocational degree) เช่น วิชามนุษยศาสตร์, สังคมศึกษา, ศิลปะและนิเทศศาสตร์
4. การสมัครเข้ามหาวิทยาลัย (University application)
อันดับแรกควรเลือกมหาวิทยาลัยในฝัน เลือกเลือกประเทศ ว่าเราอยากเรียนที่ไหน ศึกษาดูรายละเอียดว่ามีการสมัครเข้าเรียนอย่างไร มีการสอบอะไรบ้าง ซึ่งบางมหาวิทยาลัยต้องผ่านการสัมภาษณ์ด้วย จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม
5. ชีวิตในมหาวิทยาลัย (University life)
เมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว ชีวิตในมหาวิทยาลัยตามความเห็นของคุณ Jamie นั้นวิเศษมาก เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งโอกาสที่จะได้พัฒนาตัวเองในเชิงวิชาการ ได้ทำงานวิจัย ได้ทำรายงาน วิทยานิพนธ์ ได้มีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับอาชีพที่เราอยากจะต้องออกไปทำในอนาคต เราสามารถทำได้ทุกๆอย่าง และสิ่งที่ดีที่สุดคือกิจกรรมส่งเสริมหลักสูตร (Co-curricular activities หรือ CCAs) ที่ให้นักศึกษาได้เข้าร่วมกิจกรรมมากมาย และเป็นช่วงเวลาที่เราจะมีอิสระในการเรียนรู้ด้วยการพึ่งพาตนเอง ซึ่งจะแตกต่างจากสมัยเรียนที่โรงเรียน ตอนนั้นเราจะมีครูคอยช่วยเหลือ แต่ที่มหาวิทยาลัย เราต้องช่วยและพึ่งพาตัวเองอย่างมาก
6. พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ดีที่สุด
พยายามคิดถึงสิ่งที่เราอยากจะทำ อยากจะเป็น และสิ่งที่เราชอบทำ จากนั้นพยายามพูดคุยปรึกษากับครู รวมถึงพูดคุยกับเพื่อนนักเรียนด้วยกันว่าแต่ละคนอยากทำอะไรมีความสนใจอะไร
7. เรียนรู้จากการเดินทาง
จำไว้ว่าเส้นทางการเดินทางของชีวิตและการเติบโตนั้น ทุกอย่างข้องเกี่ยวกับการเรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาด สิ่งสำคัญคือทำทุกอย่างให้มากที่สุดที่จะสนุกไปกับชีวิตการเรียน
“สิ่งสำคัญคือการทำตามขั้นตอนอย่างทะเยอทะยาน เริ่มต้นด้วยเป้าหมายเล็กๆ และมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในอนาคต”
แหล่งข้อมูล https://teen.mthai.com
Author: Tuemaster Admin
ทีมงานจากเว็บไซต์ติวกวดวิชาออนไลน์ที่ดีที่สุด !! สำหรับ การเรียนออนไลน์ ม.ปลาย (ม.4, ม.5, ม.6)