จากระบบการทำงานที่กล่าวไปในหัวข้อที่แล้ว จะเห็นได้ว่า เครื่องยนต์ชนิดนี้มีมากมาย ไม่เฉพาะ ช่วยลดมลภาวะแต่ช่วยประหยัด และให้ความสะดวกสบายในการใช้งานด้วยดังนี้
ช่วยลดมลภาวะ :
เนื่องจากภาระของเครื่องยนต์เบนซินลดลงกว่าครึ่งโดยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยส่งกำลังแทนไอเสียที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจึงลงด้วย จากการทดสอบจริงด้วยรูปแบบการขับขี่ 10/15 (รูปแบบจำลองการขับขี่ในเมืองที่ใช้ในการทดสอบของญี่ปุ่น) ก๊าซพิษที่สำคัญทั้ง 3 ตัว (CO,HC & NOx) มีปริมาณเพียง 1 ใน 10 ของเครื่องยนต์ทั่วไปเท่านั้น รวมทั้งสามารถลด ก๊าซ CO2 ลงได้ถึง 50 % เลยทีเดียว
ช่วยประหยัดน้ำมัน :
เนื่องจากภาระของเครื่องยนต์เบนซินลดลงกว่าครึ่งจึงประหยัดน้ำมันได้กว่าครึ่งด้วยจากการทดสอบ ด้วยรูปแบบ 10/15 รถรุ่นนี้ ( เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ) จะวิ่งได้ประมาณ 14 ก.ม./ลิตร
ใช้งานได้สะดวก :
เนื่องจากการประจุไฟจะเกิดขึ้นในขณะใช้งาน ( ทั้งขณะวิ่งลงทางลาด และ ขณะเบรก ) จึงไม่จำเป็นต้องจอดรถเพื่อชาร์ทแบตเตอรี่เหมือนรถไฟฟ้าทั่วไป
ลดเสียง :
นอกเหนือจากหัวข้อที่กล่าวแล้ว ประโยชน์ทางอ้อมที่ได้รับคือ เสียงการทำงานของเครื่องจะน้อยลงด้วย
รถยนต์ไฮบริด คือ รถยนต์ที่มีการขับเคลื่อนด้วยพลังงาน 2 แบบในรถยนต์คันเดียวกัน นั้นก็คือ พลังงานจากเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและ
พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้กระแสไฟจากแบตเตอรี่ โดยทั้งสองระบบนี้จะทำงานร่วมกันตลอดเวลาอย่างมีประสิทธิภาพและชาญฉลาด เทคโนโลยี
ไฮบริดจึงช่วยประหยัดเชื้อเพลิง อีกทั้งยังลดจำนวนการปล่อยมลพิษในอากาศจากการทดสอบประสิทธิภาพของคัมรี่ไฮบริดในประเทศไทย ( กรุงเทพ )
พบว่า รถคัมรี่ ไฮบริดมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 33.42 กิโลเมตรต่อลิตร
ขั้นตอนการทำงานของระบบไฮบริด
ขั้นตอนการทำงานของระบบไฮบริด
ระบบไฮบริดจะควบคุมและผสมผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในทุกสภาพการ ขับขี่ โดยสามารถ แบ่งการทำงานของระบบไฮบริดเป็น 7 สถานะ ดังนี้
1. เริ่มต้นขับเคลื่อน – เมื่อเริ่มการขับเคลื่อนระบบไฮบริดจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งทำงานด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้ามีแรงบิดต่ำในการออกตัวจึงทำให้รถยนต์มีการออกตัวที่ดีและนุ่มนวล
2. การขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ/ปานกลาง – ในขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำหรือปานกลาง เครื่องยนต์ไม่สามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่มอเตอร์ไฟฟ้าจะใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นระบบไฮบริดจะใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งเก็บอยู่ในแบตเตอรี่เพื่อหมุน มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนรถยนต์ในขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำและปานกลาง
3. การขับขี่ด้วยความเร็วปกติ – จะใช้พลังงานจากเครื่องยนต์เป็นการขับเคลื่อนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด โดยพลังงานที่ถูกผลิตจากน้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกนำไปใช้ขับเคลื่อนทั้งสี่ล้อโดยตรง และส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปยังเครื่องกำเนิดไฟฟ้าโดยพลังงานที่ผลิตจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะถูกส่งไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อช่วยเสริมการทำงานของเครื่องยนต์
4. การขับขี่ความเร็วปกติ / การชาร์จแบตเตอรี่ – เนื่องจากระบบไฮบริดจะทำหน้าที่ควบคุมเครื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างมีสมรรถนะสูงสุด จึงอาจทำให้เครื่องยนต์ผลิตพลังงานออกมามากเกินความจำเป็น ในกรณีนี้พลังงานส่วนเกินที่ถูกผลิตขึ้น
จะถูกแปลงไปเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อเก็บไว้ใน แบตเตอรี่
5. การเร่งเครื่องยนต์ – เมื่อมีการเร่งเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ เช่น ในขณะขับขี่ทางลาดชันหรือในจังหวะเร่งแซง พลังงานจากแบตเตอรี่จะถูกส่งไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อช่วยเสริมแรงในการขับเคลื่อน และด้วยการผสานพลังงานทั้งจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ระบบไฮบริดสามารถส่งพลังงานเพื่อไปขับเคลื่อนรถยนต์เทียบได้กลับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่าหนึ่งเท่าตัว
6. การลดความเร็ว / การผลิตพลังงานเพิ่ม – ในจังหวะที่เบรกหรือลดความเร็ว ระบบไฮบริดจะใช้พลังงานจลที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้ ล้อไปหมุนมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งทำงานเสมือนเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและพลังงานความร้อนจากแรงเสียดทาน เมื่อลดความเร็วก็จะถูกแปลง
เป็นกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะถูกส่งไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่เพื่อใช้งานต่อไป
7. เมื่อหยุดอยู่กับที่ – เครื่องยนต์มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ เมื่อรถยนต์หยุดอยู่กับที่ดังนั้น จึงไม่มีการสูญเสียพลังงานใดๆ ทั้งสิ้น
ขอบคุณแหล่งข้อมูล https://www.toyota.co.th/technology/hybrid/hybridsystem.html