วันนี้เราขอพาทุกท่านมาชมนวัตกรรมใหม่แห่งโลกอนาคต มาลองดูกันว่าต่อไปเราอาจได้เจออะไรแบบนี้ก็เป็นได้
1. Wi-Fi ที่ครอบคลุมทั่วโลก
พื้นที่กว่า 50% ตามชนบทในแถบยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ยังไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าเมื่อไหร่ที่อินเทอร์เน็ตจะเข้าไปถึงทุกแห่งหนกันแน่ ? แต่ในอีกไม่นานต่อจากนี้เราอาจได้เห็นความตั้งใจของบริษัท OneWeb ภายใต้บริษัทแม่อย่าง Virgin Group ที่ตั้งเป้าจะทำอินเทอร์เน็ตทั่วโลกให้ได้ภายใน 10 ปีต่อจากนี้
ในปี 2018 ทาง OneWeb จะปล่อยดาวเทียมขึ้นไปอีก 10 ตัว เพื่อวางแผนที่จะนำอินเทอร์เน็ตเข้าสู่บ้านทุกหลัง โรงเรียนทุกแห่ง รวมถึงศูนย์สุขภาพตามชนบทภายในปี 2022 และภายในปี 2027 ด้วยดาวเทียมกว่า 900 ดวงที่พวกเขามี จะช่วยเป็นสะพานเชื่อมต่อโลกแห่งการสื่อสารในระบบดิจิตอลทั่วโลกได้
2. หน้ากากที่ช่วยเรื่องการได้ยินที่เหนือมนุษย์
ฮีโร่หลายคนมักจะสวมหน้ากากและมีชุดเกราะสวยๆ ดังนั้น เทคโนโลยีหน้ากาก Eidos ที่ถูกพัฒนาโดยกลุ่มนักศึกษา Royal College of Art ในลอนดอน จะทำให้ผู้คนที่สวมหน้ากากนี้มีประสาทสัมผัสที่เหนือมนุษย์ปกติ โดยมันสามารถลดเสียงรบกวนรอบข้างเพื่อให้คุณได้ยินเสียงที่ต้องการชัดเจนขึ้น ซึ่งมันสามารถช่วยให้คนที่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน สามารถได้ยินเสียงได้ดีขึ้น หรือผู้ที่ต้องการสมาธิในสภาพแวดล้อมที่มีแต่เสียงดังรอบข้าง
3. นิ้วหัวแม่มือพิเศษ
ดานี โคลด นักออกแบบชาวนิวซีแลนด์ที่อาศัยอยู่ในลอนดอน ได้คิดค้นโปรเจคที่เรียกว่า “Thumbs Up” โดยคุณสามารถสวมสายรัดข้อมือที่มี “นิ้วพิเศษ” โผล่ขึ้นมาเพื่อให้คุณใช้ประโยชน์จากนิ้วพิเศษที่ได้ในสถานการณ์ต่างๆ โดยการควบคุมนิ้วมือพิเศษนี้จะถูกควบคุมผ่านรองเท้าด้วยสัญญาณบลูทูธ เพื่อตอบสนองการเคลื่อนไหวต่างๆ ซึ่งโครงการนี้ ดานีกล่าวว่า เขาไม่ได้ต้องการใช้เพื่อแก้ปัญหาคนพิการ แต่ต้องการให้มันเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของร่างกายให้มากขึ้น
4. วัคซีนรักษาเอดส์
นี่คือสิ่งที่โลกรอคอยมานานหลายทศวรรษ จนในที่สุดก็ได้มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยสร้างความหวังให้กับผู้ติดเชื้อเอดส์ทั่วโลกกว่า 36.7 ล้านคนแล้วตอนนี้ อ้างอิงจากนิตยสาร Science นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา สามารถสร้างแอนติบอดี้ ที่สามารถจัดการกับเชื้อ HIV ที่ทำให้เกิดความเป็นไปได้ในการพัฒนาวัคซีนรักษาโรคเอดส์ได้ในอนาคต
ผลลัพธ์ในห้องทดลองแสดงให้เห็นว่า แม้แต่เชื้อ HIV ที่ขึ้นชื่อให้เรื่องของการกลายพันธุ์ ก็สามารถถูกจัดการด้วยแอนติบอดี้เหล่านี้ได้ และถ้าแอนติบอดี้นี้ถูกรับรองว่าปลอดภัยสำหรับมนุษย์ภายในปี 2018 ยาดังกล่าวจะถูกใช้ทดสอบจริงกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และเอดส์ และถ้าผลการรักษาเป็นบวก เราจะได้เห็นตัวยาที่ใช้รักษาจริงๆ ในอีก 3-4 ปีข้างหน้าต่อจากนี้
5. คอนแทคเลนส์สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
Google ได้ร่วมมือกับบริษัทการแพทย์ยักษ์ใหญ่อย่าง Novartis ใช้เวลากว่า 3 ปีในการพัฒนาสมาร์ท คอนแทคเลนส์ ที่มีการฝังชิปเซ็นเซอร์ขนาดจิ๋วและเสาอากาศไร้สายที่บางกว่าเส้นผมมนุษย์ ที่สามารถช่วยวัดระดับน้ำตาลในน้ำตาให้กับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โดยคอนแทคเลนส์ตัวนี้จะช่วยแก้ปัญหาการเจาะเลือดไปตรวจ โดยเปลี่ยนไปเช็คผ่านน้ำตาแทน เรียกได้ว่าคุณสามารถทราบระดับน้ำตาลของตัวเองได้ในทุกๆ วินาที
6. ยาตรวจจับมะเร็งจาก Google X
อีกหนึ่งผลงานของ Google X ที่พยายามผสมผสานเวชกรรมกับนาโนเทคโนโลยีมานานหลายปี นาโนเทคโนโลยีเป็นสาขาวิชาที่ซับซ้อนแต่มันก็สามารถยกระดับเทคโนโลยีทางการแพทย์ขึ้นไปอีกขั้นได้ และพวกเขากำลังทดลองยาเม็ดนาโน ที่สามารถช่วยระบุและป้องกันโรคมะเร็ง หรือแม้แต่โรคหัวใจได้
อ้างอิงจาก แอนดรูว์ คอนราด หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลองของ Google ระบุว่า อนุภาคนาโนต้องการการศึกษาอย่างถี่ถ้วน มันสามารถทำอันตรายต่อมนุษย์ได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง และก่อนที่จะสร้างยาต้นแบบขึ้นมา ทาง Google X จะต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในการพิสูจน์ให้ได้ว่ายาเม็ดนาโนตัวนี้จะปลอดภัยกับร่างกายมนุษย์จริง แต่ก็ถือว่ามันคุ้มค่ากับการรอคอยอย่างแน่นอน
7. จีนกำลังวางแผนเดินทางไปอีกฟากของดวงจันทร์
ในปี 2016 ทางรัฐบาลจีนได้เริ่มดำเนินโครงการสำรวจดวงจันทร์และตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะส่งยานอวกาศ Chang’e-4 ไปลงจอดที่ด้านไกล (หรือที่เราเรียกติดปากกันว่าด้านมืด) ของดวงจันทร์ภายในปี 2018 ซึ่งเป็นฝั่งที่ไม่เคยถูกมนุษย์สำรวจมาก่อน (ปกติดวงจันทร์จะหันหน้าฝั่งเดียวเข้าหาโลก และเราเองก็ไม่เคยลงไปสำรวจอีกฟากของดวงจันทร์ยกเว้นจะเห็นจากภาพถ่ายเท่านั้น) และในความเป็นจริง ทางจีนเองก็มีความทะเยอทะยานในโปรเจคอวกาศพอสมควร ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็มีแผนที่จะปล่อยยาน Chang’e-5 แล้วด้วย
8. อิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ที่ละลายเข้าไปในร่างกาย
ฉีหนาน เปา ศาสตราจารย์ชาวจีนด้านวิศวกรรมเคมี จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และกลุ่มเพื่อร่วมงานของเธอได้คิดค้น ไบโอโพลีเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถละลายลงไปในร่างกายได้หลังจากใช้มัน โดยในรายงานได้อธิบายคุณสมบัติของอุปกรณ์นี้เอาไว้ว่ามันมีน้ำหนักเบา เข้ากันได้ต่อเนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิต บางมาก และไม่เป็นอันตรายแน่นอน โดยมันสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานวิจัยหลายสาขาโดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
9. การผ่าตัดเปลี่ยนหัว
เป็นเวลานานกว่า 35 ปีมาแล้วที่แพทย์และนักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะรักษาโรคอัมพาตจากเส้นประสาทไขสันหลังด้วยการเปลี่ยนไขสันหลัง และถ้าพวกเขาทำได้สำเร็จล่ะก็ การผ่าตัดเปลี่ยนหัวก็จะมีโอกาสสำเร็จได้เช่นกัน ซึ่งทาง ดร.เซอร์จิโอ คานาเวโร ผู้อำนวยการจาก Turin Advanced Neuromodulation Group พร้อมแล้วที่จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนหัวมนุษย์คนแรกของโลก โดยใช้การตัดไขสันหลังแล้วซ่อมแซม จากนั้นก็ใช้การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ทีมของเขาวางแผนที่จะทดลองด้วยร่างกายของคนที่เพิ่งเสียชีวิต และคาดว่าค่าใช้จ่ายจากการผ่าตัดเปลี่ยนหัวจะสูงถึง 16 ล้านเหรียญหรือประมาณ 528 ล้านบาทเลยทีเดียว