- ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต และจบลงแล้วในอดีตก่อนที่จะพูดประโยคนี้ มักจะมีคำ (word) กลุ่มคำ (Phrase) หรือประโยค (Clause) ที่แสดงความเป็นอดีตกำกับไว้เสมอ
คำ (word) | กลุ่มคำ (Phrase) | ประโยค (Clause) |
ago | last night | When he was young. |
once | last week | When he was fifteen. |
yesterday | last month | After he had gone. |
formerly | last year | When I lived in Paris. |
in 1980 | ||
yesterday morning | ||
yesterday afternoon |
เช่น Somchai went to the movie yesterday.
I lived in Songkla three years ago.
He learned English when he was young.
- ใช้กับการกระทำที่กระทำเป็นประจำในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้กระทำอีกแล้วมักจะมีกริยาวิเศษณ์บอกความถี่ (Adverb of Frequency) มาร่วมด้วย แต่ต้องมีคำบอกเวลาที่เป็นอดีตแน่นอนกำกับไว้ตลอด เช่น
She walked to school every day last week.
I always got up late last year.
He went to school every day when he was young.
- ใช้กับการกระทำในอดีต แสดงลำดับความต่อเนื่องของเหตุการณ์ กริยา (Verb) ทุกตัวต้องเป็น Past Simple Tense เช่น
I opened my bag, took out some money and gave it to my friend.
He jumped out of the house, saw a policeman and ran away.
้ รูปของคำกริยา (Form of Verbs)
คำกริยามี 2รูป คือ
- Regular Verbs( กริยาไม่เปลี่ยนรูป)หมายความว่า เมื่อเปลี่ยนจากกริยาช่องที่ 1 (Simple Present) มาเป็นกริยาช่องที่ 2 (Simple Past) ก็ยังคงรูปเดิม เพียงแต่เติม _ed ท้ายคำกริยานั้น เช่น
work เป็น worked
hope เป็น hoped
play เป็น played etc. - Irregular Verbs (กริยาเปลี่ยนรูป)หมายความว่า เมื่อเปลี่ยนจาก กริยาช่องที่ 1 (Simple Present) มาเป็นกริยาช่องที่ 2 (Simple Past) จะเขียนไม่เหมือนเดิม เช่น
sleep เป็น slept
sit เป็น sat
run เป็น ran etc.
หลักเกณฑ์การเติม ed ที่คำกริยา
1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น
love เป็น loved
move เป็น moved
hope เป็น hoped etc.
2. กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม ed เช่น
cry เป็น cried
carry เป็น carried
marry เป็น married
try เป็น tried
etc.
3. กริยาที่ลงท้ายด้วย y แต่หน้า y เป็นสระ ให้เติม ed ได้เลย เช่น
play เป็น played
enjoy เป็น enjoyed
stay เป็น stayed
etc.
4. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียวและลงท้ายด้วยตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดนั้นอีก 1 ตัว แล้วจึงเติม ed เช่น
play เป็น planned
rub เป็น rubbed
stop เป็น stopped
ยกเว้น
tax เป็น taxed
tow เป็น towed
5.กริยามีเสียง2พยางค์แต่ลงเสียงหนัก(stress)พยางค์หลังและพยางค์หลังมีสระตัวเดียวตัวสะกดตัวเดียวให้เติมตัวสะกดนั้นอีก 1 ตัวก่อน แล้วจึงเติม ed เช่น
refer เป็น referred
permit เป็น permitted
ยกเว้น คำกริยานั้นออกเสียงหนักที่พยางค์แรกให้เติม ed ได้เลย เช่น
cover เป็น covered
open เป็น opened
gather เป็น gathered
6. นอกจาก ข้อ 1-5 ให้เติม ed ที่คำกริยาได้เลย เมื่อต้องการทำให้เป็นกริยาช่อง 2
การออกเสียง (Pronunciation)
การออกเสียง ed ที่เติมหลังคำกริยาออกเสียงได้ดังนี้
1. ออกเสียง ed เป็น /id/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วย t หรือ d เช่น
want เป็น wanted
need เป็น needed
visit เป็น visited
2. ออกเสียง ed เป็น /t/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง (Voiceless) /k/, /s/, /t-/, /f/, /P/ เช่น
cook เป็น cooked
kiss เป็น kissed
watch เป็น watched
finish เป็น finished
stop เป็น stopped
laugh เป็น laughed
3. ออกเสียง ed เป็น /d/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงก้อง (Voice) เช่น
arrive เป็น arrived
open เป็น opened
rub เป็น rubbed
study เป็น studied
สรุปโครงสร้าง