เรียนรู้เสียงที่ชาวจีนใช้
- ระบบการออกเสียงที่เป็นที่นิยมที่สุดคือระบบพินอิน (pinyin: 拼音) นั้นช่วยได้มาก การเรียนรู้พินอินมีความซับซ้อนอยู่บ้าง แต่ตัวอักษรส่วนใหญ่จะออกเสียงเหมือนกับในตัวภาษาอังกฤษ เสียงใหม่ที่จะต้องเรียนรู้ก็มี : “h”, “x”, “q”, “j”, “r”, และ “ü” นอกจากนี้ยังมีอักษรตัวควบกล้ำที่ต้องเรียนรู้เพิ่ม เช่น “zh”, “ch”, และ “sh”
- “h”: เกือบจะเหมือนภาษาอังกฤษตัว “h”, แต่จะออกเสียงเค้นในลำคอมากกว่า
- “x”: วางปลายลิ้นใกล้กับจุดที่ฟันล่างติดกับเหงือก และลิ้นส่วนกลางอยู่ใกล้เพดานปาก แล้วพ่นลมออกมาจากปาก มันจะออกเสียงคล้ายกับ “sh”, แต่ใกล้เคียงกับ “s”
- “q”: เหมือนกับ “x” แต่ใช้เสียง “t” เป็นตัวตั้งต้น มันจะฟังคล้าย “ch”, แต่ใกล้เคียงกับ “ts”
- “j”: เหมือนกับ “q”, แต่คุณจำเป็นต้องใช้เสียงในตัวนี้ แทนที่จะแค่พ่นลมหายใจออกมา ให้ทำโดยมีเสียงออกมา ความแตกต่างระหว่าง “q” กับ “j” นั้นคล้ายกับความแตกต่างระหว่าง “s” กับ “z” ในภาษาอังกฤษ
- “r”: ตัวอักษรตัวนี้ออกเสียงต่างออกไปเมื่อมันเป็นตัวเริ่มต้นกับที่มันเป็นตัวต่อท้าย เวลาที่มันเป็นตัวตั้งต้น ตรงนี้จะยากนิดหน่อยและต้องฝึกฝน ให้ใช้ปลายลิ้นยกขึ้นไปจนเกือบแตะเพดานปาก ข้างลิ้นควรแตะกับฟันกรามทั้งสองข้าง แล้วพ่นลมหายใจออกมาพร้อมเสียง มันจะฟังดูเกือบคล้ายเสียง “s” ใน “vision”, แต่ใกล้เคียงกับ “r” เวลาที่ตัวอักษรตัวนี้อยู่ท้ายของคำอ่าน มันจะออกเสียงคล้ายตัว “r” ในภาษาอังกฤษ
- “ü”: ตัวอักษรตัวนี้เป็นสระตัวที่หกของภาษาจีน และไม่พบในภาษาอังกฤษ กระนั้น มันออกเสียงค่อนข้างง่าย เริ่มด้วยการห่อลิ้นเหมือนเวลาที่คุณพยายามจะพูดว่า “oo”, เหมือนในคำว่า “food” จากนั้นทำเสียง “ee” เหมือนที่คุณได้ยินในคำว่า “bee”
- “zh”: คล้ายอย่างมากกับภาษาอังกฤษตัว “j” ใน “jar” แต่วางตำแหน่งปากแบบเดียวกับภาษาจีนตัว “r”
- “ch”: คล้ายอย่างมากกับภาษาอังกฤษตัว “ch” ใน “chew” แต่วางตำแหน่งปากแบบเดียวกับภาษาจีนตัว “r”
- “sh”: คล้ายอย่างมากกับภาษาอังกฤษตัว “sh” แต่วางตำแหน่งปากแบบเดียวกับภาษาจีนตัว “r” เสียงตัว “r”, “zh”, “ch”, และ “sh” เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นกลุ่ม “retroflex” เพราะมันฟังดูเหมือนเป็นกลุ่มเสียงเดียวกัน
ระบบการสัทอักษรภาษาจีนกลาง (Pinyin) ตัวพยัญชนะ สระ และเสียงวรรณยุกต์ วิเคราะห์เทียบเสียงกับภาษาไทย หลักเบื้องจีนการเขียนตัวอักษรจีน ศึกษาเส้นขีดต่างๆของตัวอักษรจีนกฎเกณฑ์ระเบียบในการเขียนตัวอักษรจีน การสนทนาทักทายในชีวิตประจำวันเช่น การกล่าวทักทายสวัสดี ถามตอบชื่อ-สกุล กล่าวคำอำลา คำขอบคุณ การบอกวันเวลา สถานที่ การนับเลข คำศัพท์ที่ใกล้ตัวและเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน ตลอดจนโครงสร้างรูปประโยค ไวยากรณ์ การใช้คำต่างๆ เกร็ดความรู้ที่มาของแต่ๆละเส้นขีดของตัวอักษรจีน
第一课 บทที่ 1
汉语拼音 Hanyu pinyin (ระบบการสัทอักษร พินยิน)
เนื่องจากตัวอักษรจีนเป็นตัวอักษรที่มาจากภาพวาดและวิวัฒนาการเรื่อยมาจนเป็นตัวอักษรจีนในปัจจุบัน โดยแต่ละขีด แต่ละเส้นของตัวอักษรจีนไม่สามารถนำมาผสมกันแล้วออกเสียงเป็นภาษาจีนได้ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ระบบการออกเสียงสัทอักษรภาษาจีน (พินอิน拼音) ซึ่งได้ดัดแปลงมาจาก International Phonetic Alphabets เพื่อช่วยในการอ่านออกเสียงตัวอักษรจีนนั้น ๆ หากเทียบกับภาษาไทยแล้ว ระบบสัทอักษรจีนหรือพินอินนั้นมิได้ยากอย่างที่คิดเลย ภาษาไทยเรามีพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ สัทอักษรจีนก็มีเช่นกัน
声母 shēngmŭ เซิงหมู่ พยัญชนะ
1. พยัญชนะต้นของภาษาจีนมี 21 เสียง
b (ปอ) p (พอ) m (มอ) f (ฟอ)
d (เตอ) t (เธอ) n (เนอ) l (เลอ)
g (เกอ) k (เคอ) h (เฮอ) j (จี)
q (ชี) x (ซี) z (จือ) c (ชือ)
s (ซือ) zh (จรือ) ch (ชรือ) sh (ซรือ) r (ยรือ)
หมายเหตุ zh ch sh r ให้ออกเสียงโดยยกปลายลิ้นขึ้นแตะบริเวณเพดานปาก ในการสะกดเสียงอ่านแบบไทยนั้น ผู้เขียนได้เลือกอักษร “ ร ” เป็นตัวแทนการออกเสียงยกลิ้นขึ้น มิได้หมายถึงให้สะกดเป็น จะ-รือ ชะ-รือ ซะ – รือ ยะ-รือ แต่ให้ออกเสียงควบกัน
2. พยัญชนะต้นกึ่งสระมี 2 เสียง คือ
y (i อี) และ w (u อู)
韵母 yùnmǔ อวิ้นหมู่ สระ
แบ่งออกเป็นสระเดี่ยว และสระผสม ดังนี้
1. 单韵母 สระเดี่ยว มี 6 เสียง ดังนี้
a (อา) o (โอ) e (เออ) i (อี) u (อู) ü ( อวี)
** สระ ü จะออกเสียงสระ u (อู) ควบกับ สระ i (อี) ( u + i ) โดยจุดสองจุดที่อยู่ด้านบน u เท่ากับสระ i นั่นเอง
หมายเหตุ บางตำรากล่าวถึงสระเดี่ยวไว้ว่ามี 8 เสียง ดังนี้
a (อา) o (โอ) e (เออ) i (อี) u (อู) ü ( อวี) ê (เอ) er (เออร)
2. 双韵母 สระประสม สังเกตได้ว่าการออกเสียงสระผสม จะเกิดจากเทคนิคการลากเสียงของสระแต่ละเสียงมาชนกัน
2.1 สระประสมสระหลัก
a (อา) + o (โอ) = ao (อาว) i (อี) + u (อู) = iu (อิว) e (เออ) + i (อี) = ei (เอย)
a (อา) + i (อี) = ai (ไอย) u (อู) + i (อี) = ui (อุย) o (โอ) + u (อู) = ou(โอว)
u (อู) + o (โอ)= uo (อัว) u (อู) + a (อา)= ua (อวา) เป็นต้น
2.2 หากสระ e (เออ) ตามท้ายสระตัวอื่นจะออกเสียงเป็นสระ ê (เอ)
i (อี) + e (เอ) = ie (เอีย) ü (อวี) + e (เอ) = üe (เอวีย)
2.3 สระประสมสียงนาสิก
กรณีที่มีเสียงพยัญชนะท้าย คือ – n หรือ – ng ตามหลังเสียงสระ เสียง – n จะเทียบได้กับเสียง “แม่กน” ในภาษาไทย และ – ng จะเทียบได้กับเสียง “แม่กง” ในภาษาไทย ส่วนเสียง – r ด้านท้ายนั้นกำกับไว้เพื่อแสดงว่าเป็นเสียงที่จำเป็นต้องม้วนหดลิ้นให้ยกขึ้นไปแตะบริเวณเพดานแข็ง
an (อาน) ang (อาง) ong (อง) en (เอิน)
eng (เอิง) iian (เอียน) in (อิน) iang (เอียง)
ing (อิง) iong ( อี+อง) uan (อวาน)
uang (อวาง) un (อูน) ün (อวิน)
üan (เอวียน) er (เออ-ร)
ในบรรดาสระเดี่ยว 6 เสียง จะมีอยู่ 2 เสียง คือ เสียงสระ i (อี) และ u (อู) ที่ไม่สามารถใช้เป็นสระขึ้นต้นพยางค์ตามลำพังได้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีพยัญชนะกึ่งสระ y (อี) และ w (อู) มาช่วยกำกับแทนที่สระ i (อี) และ u (อู)
- ขอบคุณข้อมูล https://th.wikihow.com/