หลักการใช้รูปเอกพจน์ของ other , anotherและ the other
คำว่า other และ another นั้นเป็นคำที่ใช้อธิบายถึงบางสิ่งที่แตกต่างออกไป หรือยังคงเหลืออยู่ หรือถูกเพิ่มเติมเข้ามา โดยจะวางไว้ข้างหน้าคำนาม สำหรับ The other จะมีหลักการใช้ที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย
Other | ใช้กับคำนามนับได้ที่อยู่ในรูปพหูพจน์และคำนามทั้งหมดที่นับไม่ได้ |
Another | ใช้กับคำนามนับได้ที่อยู่ในรูปเอกพจน์ |
The other | ใช้กับคำนามใด ๆ ก็ได้ที่ใช้คำนำหน้านามว่า “the” |
หลักการใช้ “Other” อื่นๆอีกหลายอัน ดังนั้นต้องมีคำนามพหูพจน์มาต่อ เช่น other people เพราะ people แปลว่าคนหลายคน ประชาชน เป็นพหูพจน์ของ person นั่นเอง และ “Others” ก็มีความหมายว่าอื่นๆ แต่เพียงแค่เวลาใช้ไม่ต้องมีคำนามมารับ I have two books, but I want each other = ซึ่งกันและกัน
Other จะวางข้างหลัง some, any และ no
ตัวอย่าง
- Do you have other shoes?
- There are other jobs you could try.
- Is there any other bread?
- I have some other sugar we could use.
- We have no other ideas.
หากใช้ other ร่วมกับคำนามนับได้ที่อยู่ในรูปพหูพจน์และ some หรือ any หรือ no (คำใดคำหนึ่ง) ในกรณีที่เข้าใจตรงกันว่า กำลังพูดถึงคำนามใดอยู่ คุณสามารถละคำนามไว้โดยไม่ต้องกล่าวถึงได้ ในกรณีเช่นนี้ other จะต้องอยู่ในรูปพหูพจน์ แต่ก็เป็นไปได้ที่ในบางครั้งจะใช้เพียงแค่ other เท่านั้นซึ่งมักจะพบไม่บ่อยเท่าใดนัก
ตัวอย่าง
- Do you have any others?
- I know some others who might like to come.
- There are no others in this box.
- I know others like vanilla, but I prefer chocolate.
- She doesn’t have to wear that dress. She has others.
หลักการใช้ “Another” another = อื่นๆอีกหนึ่ง เช่น another person บวกนามเอกพจน์
Another จะใช้กับคำนามนับได้ที่อยู่ในรูปเอกพจน์ สำหรับคำนามที่นับไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ another ร่วมกับคำลักษณะนามที่เป็นเอกพจน์
ตัวอย่าง
- Have another cookie.
- Would you like another cup of tea?
- He has another brother.
- I don’t have another car.
- I’ll come by another time.
หลักการใช้ “The Other”
หาก the other ถูกใช้เพื่อขยายคำนามนับได้ที่อยู่ในรูปพหูพจน์ ในกรณีที่เข้าใจตรงกันว่า กำลังพูดถึงคำนามใดอยู่ คุณสามารถละคำนามไว้โดยไม่ต้องกล่าวถึงได้ ในกรณีเช่นนี้ other จะต้องอยู่ในรูปพหูพจน์
ตัวอย่าง
- Where is the other box of cereal?
- I work on the weekend and go to school on the other days of the week.
- May I use the other honey for my recipe?
- I enjoyed the first book but I didn’t read the other books in the series.
- Have you seen the others?
- Jim ate two cookies. I ate the others.
แยกเป็นกรณีดังนี้
กรณีที่ 1
มีเพื่อน 3 คน ชื่อโทมัส วิลเลี่ยม และเอ็ดเวิร์ด
I have 3 friends. One is Thomas. Another one is William. The other (one) is Edward.
ดังนั้นจึงเลือกใช้ Another ค่ะ เพราะมันคือ an + other ซึ่ง a หรือ an ก็ใช้นำหน้าคำนามเอกพจน์แบบไม่เฉพาะเจาะจง
Another จึงหมายถึง “อีกคน” ที่จะเป็นคนไหนก็ได้แบบไม่เฉพาะเจาะจง จะคนไหนหรืออันไหนก็ได้
ส่วน The other หมายถึงคนที่เหลืออยู่ เพราะมาจาก the + other ซึ่ง the จะแสดงความชี้เฉพาะ ดังนั้นเมื่อเหลือคนเดียวแล้วก็แสดงว่าเจาะจงหมายถึงคนนั้นค่ะ The other จึงหมายถึง “คนที่เหลือ” ค่ะ
แล้วถ้ามีเพื่อนแค่ 2 คนล่ะ สมมติว่าเหลือแค่โทมัสกับวิลเลี่ยม
หลังจากแนะนำคนแรกเสร็จแล้ว คนที่สองก็คือคนที่เหลืออยู่ ดังนั้นจึงเป็น One is Thomas. The other (one) is William. ได้เลยค่ะ
แล้วถ้าเพื่อนเยอะกว่า 3 คนนั้นล่ะ จะพูดยังไง
ตามทฤษฎีก็มีคนแรก คนกลางๆ และคนสุดท้าย ซึ่งก็เขียนได้เป็น One is Thomas. Another one is William. Another one is Daniel. Another one is Chris. The other (one) is Edward. ถือว่าถูกตามหลัก แต่ฟังแล้วน่ารำคาญมากค่ะ เหมือนเราพูดว่า อีกคนคือ… ส่วนอีกคน… และอีกคน… มันฟังซ้ำซ้อน จึงควรพูดเป็น
One is Thomas. Another one is William. The third one is Daniel. That is Chris. The other (one) is Edward. หรือ
One is Thomas. Another one is William. The third one is Daniel. The other guys are Chris and Edward. หรือ
One is Thomas. Another one is William. The third one is Daniel. The others are Chris and Edward. (ประมาณนี้ หรือจะรวบกันแบบอื่นก็ได้)
อย่าเพิ่งคิดว่า The others คือรูปพหูพจน์ของ The other นะคะ เพราะถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าพี่เขียน The other (one) แต่ The others ไม่มีวงเล็บต่อ นั่นคือ
The other เป็นได้ทั้ง Adjective และ Pronoun ค่ะ จะใช้ร่วมกับคำนามอื่นอย่าง the other one, other guys หรือ other person หรือจะใช้เป็นสรรพนามไปเลยก็ได้ แต่เมื่อใช้เป็นสรรพนาม จะมีค่าเท่ากับนามเอกพจน์ค่ะ
The others เป็น Pronoun อย่างเดียวค่ะ ตัวมันเองมีค่าเท่ากับคำนามพหูพจน์ ซึ่งพหูพจน์นี้ เราจะรู้จำนวนที่แน่นอน (เพราะมี The ที่ชี้เฉพาะ) แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เหลือแต่ไม่รู้จำนวนแน่นอนก็ใช้ Others เฉยๆ ไม่ต้องมี The ค่ะ เช่น
รถขนส้มมาเต็มคัน แต่ดันมีแอปเปิ้ลติดมาลูกนึง ก็เป็น One is an apple. Others are oranges. (เราไม่รู้ว่ามีส้มเท่าไหร่)
สรุปคือ Other ในฐานะ Adjective จะตามด้วยคำถามเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ได้ แต่ถ้า Other ในฐานะคำสรรพนามจะมีค่าเป็นนามเอกพจน์ ส่วน Others เทียบเท่านามพหูพจน์ค่ะ
กรณีที่ 2
ขออีกอันได้มั้ย
สมมติว่าไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง แล้วอาหารจานนี้อร่อยสุดยอด อยากสั่ง “เอาอันนี้อีกอัน” จะต้องใช้ Another ค่ะ เช่น
Can I have another …ชื่อสิ่งที่อยากได้…?
Can I have another one?
แต่ถ้ามีของแค่ 2 ชิ้น แล้วชิ้นที่เพื่อนให้เรามันไม่ถูกใจ จะขอเปลี่ยนเป็นอีกชิ้น คราวนี้เป็นการเฉพาะเจาะจงแล้ว (ก็มีแค่ชิ้นนี้กับชิ้นนั้นนี่นา) เราสามารถพูดได้ว่า
Can I have your other …ชื่อของ…?
กรณีที่ 3
ถ้ากลุ่มเรากำลังคุยกัน จะใช้อะไรดี
ถ้ามีแค่เรา 2 คนคุยกัน ให้ใช้ We talk to each other.
แต่ถ้าเป็นกลุ่มมากกว่า 2 คน และก็คุยรวมๆ กันทุกคน ไม่ได้ฟังใครพูดคนเดียว ก็ใช้ว่า We talk to one another.
ปัจจุบัน คนส่วนมากไม่ค่อยยึดตามหลักการนี้แล้ว แต่จะมองว่าทั้ง each other และ one another มีค่าเท่ากัน ซึ่ง one another เป็นภาษาทางการกว่า each other แต่ถ้าน้องๆ ต้องเขียนส่งคุณครู ก็แนะนำให้ใช้ตามหลักการเดิมนะคะ
กรณีที่ 4
ถ้าเราสนิทกันมากจนแลกเสื้อผ้ากันใส่ได้
We share each other’s clothes. หลายๆ คนอาจจะไม่แน่ใจว่ามันต้องเป็น Each other’s หรือว่า Each others’ เพราะมันมีเรา 2 คน อย่างนี้ไม่เป็นพหูพจน์หรอ จริงๆ แล้ว Each other ก็คือ each + other ซึ่ง each หมายถึง “แต่ละ” แสดงว่าเราต้องนับทีละคน แยกกัน ไม่ได้มองรวมกันหลายคน Each other จึงเป็นเอกพจน์ และเมื่อจะแสดงความเป็นเจ้าของให้เขียนว่า each other’s