ในทางกลับกัน หากความคิดของคุณเต็มไปด้วยอคติ จิตใจของคุณก็จะหม่นหมอง หดหู่ ซึ่งจะก่อให้เกิดการกระทำในแง่ลบ และส่งผลร้ายให้กับชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย
. พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้
แท้จริงแล้ว สมองถูกออกแบบให้มนุษย์เรามีความคิดเชิงลบมากกว่าเชิงบวก สิ่งนี้เชื่อมโยงกับสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเจอกับเหตุการณ์อันเลวร้ายที่ทำให้เราหมดสิ้นหนทาง หรือรู้สึกมืดแปดด้าน สมองจะสั่งการให้ตัวเรามีแรงฮึด และปลุกพลังภายในที่ซ่อนอยู่ เพื่อให้เราสามารถต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายได้
2. เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวคุณเอง
นักจิตวิทยาหญิงท่านหนึ่งชื่อ คารอล เขียนในหนังสือของเธอว่า “ความคิด” แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ความคิดแบบยึดติด และความคิดแบบยืดหยุ่น ผู้ที่มีความคิดยึดติดเป็นพวกที่เชื่อว่าความสามารถของตนเองเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก พวกเขามักคิดว่าตนเองเก่งหรือแย่ในด้านใดด้านหนึ่งอย่างสุดโต่ง
3. รักษาความเป็นตัวของตัวเอง และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
บ่อยครั้งที่เรารับฟังคำพูด คำวิจารณ์ และความคิดเห็นของคนอื่นๆมากจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น สื่อในโลกออนไลน์ก็มีอิทธิพลต่อความคิดของคนในยุคปัจจุบันอย่างมาก สิ่งเหล่านี้ทำให้เราหลงทาง และลืมความเป็นตัวของตัวเองไป ตัวอย่างง่ายๆ
4. มองโลกในแง่ดี
การมองโลกในแง่ดีเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่จะช่วยให้ชีวิตคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หากคุณมองโลกในแง่ร้าย คุณก็จะกลายเป็นคนที่ขี้ระแวง ใจแคบ ไม่มีการพัฒนา และแน่นอนว่าคุณจะไม่มีความสุข ในทางตรงกันข้าม หากคุณมองโลกในแง่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส คุณจะเปิดใจยอมรับสิ่งต่างๆในชีวิต และทำให้คุณมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น
5. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น
คุณเคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่านิ้วมือทั้งห้าของคนเรายาวไม่เท่ากัน แต่นิ้วมือทุกนิ้วมีความสำคัญหมด มนุษย์เราก็เช่นกัน ทุกคนมีข้อดีของตัวเอง ดังนั้น จงอย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับเปลือกภายนอก
6. เชื่อมั่นในความเป็นไปได้
ความคิดเป็นตัวกำหนดทิศทางของชีวิต ดังนั้น หากคุณเริ่มต้นทำสิ่งใด และคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ คุณก็จะไม่มีทางพบกับความสำเร็จ คุณสามารถเปลี่ยนวิธีคิดแบบนี้ได้โดยการตั้งคำถามและคิดว่ามันเป็นไปได้
เช่น หากคุณเชื่อว่าคุณไม่สามารถทำงานชิ้นหนึ่งได้ ให้คุณลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าฉันจะสามารถทำมันให้สำเร็จได้อย่างไร หรือหากคุณทำงานชิ้นหนึ่งและมันไม่ได้ผล คุณก็ลองเปลี่ยนมาตั้งคำถามใหม่ว่า จะสามารถทำมันให้ได้ผลได้อย่างไร
ทางด้านวิชาการมีความพยายามแบ่ง Mindset ออกมาเป็นกลุ่ม ๆ อยู่หลายแบบเหมือนกัน แต่ทฤษฎีนึงที่โด่งดังที่สุดคือทฤษฎีที่นำเสนอโดย Carol Dweck ที่บอกว่า Mindset ถูกแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ Fixed Mindset และ Growth Mindset
Fixed Mindset
คือ Mindset ที่คนเชื่อว่าตัวเองไม่สามารถเก่งขึ้นได้ ความรู้ทั้งหลายเป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิดและไม่สามารถพัฒนาไปกว่านั้นได้
– พยายามหลีกเลี่ยงทุกปัญหา
– ยอมแพ้กับทุกสิ่งอย่างง่ายดาย
– รู้สึกว่าความพยายามเป็นสิ่งไร้ค่า
– เมื่อได้รับ Feedback ด้านลบของตัวเองก็จะปฏิเสธว่ามันไม่จริงและไม่สนใจใด ๆ
– รู้สึกว่าความสำเร็จของคนอื่นทำให้ชีวิตตัวเองห่อเหี่ยว
คนที่มี Mindset แบบนี้เป็นการสร้าง “กรอบ” ของความคิดของจริง คือตัวเองไม่สามารถออกจากกรอบนี้ได้และก็จะเป็นแบบนี้ไปจนตาย
ผลคือคนกลุ่มนี้มักจะไม่สามารถคว้าความสำเร็จในชีวิตไว้ได้ เนื่องจากโลกมันหมุนไปเรื่อย ๆ แต่คนกลุ่มนี้กลับปฏิเสธที่จะพัฒนาตัวเองนั่นเอง
Growth Mindset
คือ Mindset ของคนที่เชื่อว่าตัวเองเก่งขึ้นได้ตลอดเวลา และเชื่อว่าตัวเองสามารถเรียนรู้เรื่องใด ๆ ในโลกถ้าใส่ความพยายามลงไปมากพอ
– เมื่อชีวิตเจอปัญหาหรือความท้าทายจะเข้าลุย
– รู้สึกว่าความพยายามนี่แหละคือหนทางนำไปสู่ความเก่งความชำนาญและความเมพ
– เมื่อเจอคำวิจารณ์แย่ ๆ ก็จะเรียนรู้จากมันแทนการเพิกเฉย
– มองความสำเร็จของคนอื่นเป็นบทเรียนและแรงบันดาลใจ
คนกลุ่มนี้มักจะคว้าความสำเร็จได้มากกว่าคนกลุ่ม Fixed Mindset มากเพราะคนกลุ่มนี้จะพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีกรอบที่จำกัดตัวเองไว้ หากเจอปัญหาอะไรก็แก้ได้หมดและกลายเป็นคนที่มีค่ามากไปในที่สุด
ลองดูคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตระดับโลก Mark Zuckerberg งี้ Larry Page งี้ Steve Jobs งี้ ทุกคนล้วนแต่มี Growth Mindset ทั้งสิ้น เพราะเค้ารู้ว่าโลกมันไม่หยุดหมุน เราต้องเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ตามโลกด้วยนั่นเอง
ควรเป็นแบบไหน ?
ตอบไม่น่าจะยากป่ะ Growth Mindset สิ !
และเพื่อจะพาตัวเองไปให้ถึงจุดนั้น สิ่งที่ต้องทำก็มีไม่มาก … รับพลังจากคน Growth Mindset มาเยอะ ๆ เรียนรู้จากคนกลุ่มนี้เยอะ ๆ และ นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ครับ
มี Mindset ในกลุ่ม Growth อยู่หลายตัวที่แทบจะเป็น Fundamental เช่น
คนเรายิ่งล้มเหลวก็จะยิ่งเก่งขึ้น
แค่นี้ก็จะทำให้เราไม่กลัวการทำอะไรใหม่ ๆ อีกต่อไป และคุณก็จะเก่งขึ้นได้ด้วยตัวเองทุกวินาที
หาอ่านและเรียนรู้วิธีคิดแบบนี้ไว้เยอะ ๆ ครับ และนำไปปฏิบัติตามด้วยเพื่อให้มันกลายเป็น Mindset ของเราไปจริง ๆ ในที่สุด