อันตรายของ EMF ศาสตราจารย์มาร์ตินได้ให้ข้อมูลว่า อันตรายจาก EMF เกิดจากการที่ EMF กระตุ้น Reactive Oxygen Species กลุ่มหนึ่งที่ชื่อ Peroxynitrites ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างความเสียหายให้กับ DNA ได้มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง โดยผ่านการทำอันตรายต่อไมโตคอนเดรีย
เครื่องมือที่ปล่อย EMF อย่างต่อเนื่องในระดับที่ส่งผลเสียหายต่อไมโตคอนเดรียได้แก่สมาร์ทโฟน สมาร์ทแท็บเล็ต เสาส่งสัญญาณสมาร์ทโฟน เราท์เตอร์ Wi-Fi โมเด็ม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไร้สาย เป็นต้น
อะไรคือสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
Electromagnetic Field (EMF) หรือสนามเหล็กไฟฟ้า คือสนามทางกายภาพ ที่เกิดจากความต่างศักดิ์ของประจุไฟฟ้า 2 แหล่ง ทำให้เกิดคลื่นเคลื่อนที่จากแหล่งกำเนิดไปในทุกทิศทางอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด สนามแม่เหล็กไฟฟ้านี้แยกได้เป็นสนามแม่เหล็ก (magnetic field) กับสนามไฟฟ้า (electric field) ซึ่งทั้ง 2 สนามจะวางตัวตั้งฉากกัน
อะไรคือสนามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อน
สนามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อน หรือ Extremely Low Frequency Electromagnetic Field (ELF-EMF) คือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่คลื่นในช่วง 3 – 3,000 Hz ซึ่งเป็นความถี่คลื่นในระดับต่ำมาก โดยความถี่ที่ได้รับความสนใจว่าจะมีผลต่อสุขภาพมากที่สุดคือความถี่ที่ 50 – 60 Hz ซึ่งเป็นความถี่ของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าที่ใช้อยู่ตามบ้านเรือนนั่นเอง (ในประเทศอเมริกาใช้ระบบความถี่ 60 Hz ส่วนประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่จะใช้ระบบความถี่ 50 Hz รวมถึงประเทศไทยด้วย) ความถี่ระดับนี้เป็นความถี่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ต่ำกว่าความถี่ของคลื่น microwave และ radiofrequency เสียอีก
หน่วยวัดระดับของสนามแม่เหล็กไฟฟ้านั้น แม้จะมีทั้งสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าอยู่ด้วยกัน แต่เวลาวัดจะใช้คนละหน่วย ระดับของสนามไฟฟ้าจะใช้หน่วย Volts/meter (V/m) ส่วนระดับของสนามแม่เหล็กจะใช้หน่วย Tesla หรือ gauss (1 Tesla = 10,000 gauss) ซึ่งในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง ELF-EMF นี้ จะวัดระดับสนามแม่เหล็กในระดับ microTesla (uT) หรือ milligauss (mG) เสียเป็นส่วนมาก เนื่องจากคลื่นมีกำลังต่ำดังกล่าวแล้ว ในเรื่องของการเกิด health effects นั้น สนามแม่เหล็กดูเหมือนจะมีโอกาสทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้มากกว่า เนื่องจากสามารถผ่านทะลุเข้าไปในร่างกายได้โดยจะไม่มีการลดระดับลงเลย แต่เนื่องจากสนามทั้ง 2 ชนิดนี้มักเกิดขึ้นร่วมกัน จึงมักจะทำการพิจารณาผลเสียต่อสุขภาพที่เกิดขึ้นไปร่วมกัน
ELF-EMF เป็นสิ่งที่พบอยู่รอบตัวเราในชีวิตประจำวัน และคนทุกคนต้องมีโอกาสได้สัมผัส ที่พบบ่อยที่สุด คือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่รอบสายไฟฟ้า ทั้งจากเสาไฟฟ้าทั่วไปและเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง สนามแม่เหล็กไฟฟ้าจากเสาไฟฟ้าทั่วไปซึ่งมีกำลังไฟฟ้า 8 – 24 kV จะน้อยกว่าจากสายส่งไฟฟ้าแรงสูงซึ่งมีกำลังไฟฟ้าสูงถึง 765 kV เลยทีเดียว สำหรับภายในบ้านก็มีการสัมผัส ELF-EMF ได้เช่นกัน ส่วนใหญ่มาจากสายไฟภายในบ้าน และบางส่วนส่งออกมาจากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่นหม้อแปลง โทรทัศน์ เครื่องดูดฝุ่น เครื่องเป่าผม เครื่องผสมอาหาร คอมพิวเตอร์ หรือรถจักรยานยนต์ เป็นต้น
ระยะทาง (distance) ที่สนามแม่เหล็กไฟฟ้าไปถึงได้หรือวัดค่าได้นั้น แตกต่างกันไปในแต่ละแหล่งกำเนิด โดยทั่วไปสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านต่างๆ จะมีระยะทางไม่เกิน 1 – 2 เมตรเท่านั้น แต่สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง จะมีระยะทางได้ถึง 50 – 150 เมตร (2) การวัดระดับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในที่ทำงานทั่วไป มักพบระดับที่ 0.1 – 10 uT แต่ถ้าเป็นคนทำงานใกล้อุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดใหญ่เช่นหม้อแปลงจะได้รับสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามากกว่านั้น ในบ้านโดยทั่วไปมีระดับที่ 0.1 uT ในขณะที่บ้านที่อยู่ใกล้สายส่งไฟฟ้าแรงสูง พบว่ามีระดับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าสูงกว่า อาจวัดได้ถึง 5 – 10 uT เลยก็เป็นได้ (3)
ปัจจุบันมีรายงานการศึกษาวิจัยหลายฉบับ พบว่าการสัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ELF-EMF โดยตรงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพขึ้นได้ในหลายระบบ ดังต่อไปนี้
ผลก่อมะเร็ง
การศึกษาทางระบาดวิทยาหลายการศึกษา พบประเด็นการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก (childhood leukemia) สัมพันธ์กับการพักอาศัยอยู่บริเวณใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง แม้ในช่วงต้นความสัมพันธ์จะยังดูไม่ชัดเจนนัก แต่การศึกษาที่ทำต่อๆ มา ดูเหมือนความสัมพันธ์นี้จะชัดเจนขึ้น
ประเภทของ EMF ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
แบ่งกว้างกว้างได้เป็น 4 ประเภท
1. คลื่นวิทยุ (Radio Frequency-RF)
เป็นคลื่นที่มีความแรงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับอีก 3 ประเภทที่เหลือ คืออยู่ระหว่าง 3 KHz ถึง 300 GHz อุปกรณ์ที่ปล่อยคลื่น RF คือ สมาร์ทโฟน/แท็บเล็ต Wi-Fi อุปกรณ์ไฟฟ้าไร้สาย
2. สนามแม่เหล็ก (Magnetic Field-MF)
มาพร้อมกับสนามไฟฟ้า (Electric Field-EF) แหล่งที่มาของ MF ได้แก่ทรานสฟอร์เมอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีมอเตอร์ แผงเบรคเกอร์ สมาร์ทมิเตอร์ที่เอาไว้วัดไฟฟ้าน้ำประปา เครื่องชาร์ทแบตเตอรี่มือถือ แบตเตอรี่แล็ปท็อป ความถี่อยู่ในช่วง 50 ถึง 60 Hz ซึ่งเป็นความถี่จากกระแสไฟฟ้าที่ใช้ภายในบ้าน
3. สนามไฟฟ้า (Electric Field-EF)
ก็คือกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านสายไฟนั่นเอง ซึ่งมันก็จะสร้าง MF รอบมันด้วย แรงดันไฟฟ้า(Voltage) สร้างแรงดันกระแสไฟฟ้าภายในเส้นลวด ปัญหาที่เกิดกับมนุษย์คือ EF จะต้องถูกซับโดยเสาไฟฟ้าธรรมชาติที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งก็คือร่างกายมนุษย์นั่นเอง นั่นหมายถึง โดยพื้นฐานร่างกายเราจะได้รับ EF ในระดับต่ำแต่สม่ำเสมอภายในบ้าน โดยที่เราไม่รู้สึกตัวเลย ถึงแม้ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้จะไม่ได้เปิดอยู่เลยก็ตาม
4. กระแสไฟฟ้าสกปรก (Dirty Electricity-DE)
การที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ไฟฟ้าซึ่งควรจะปล่อยความถี่ที่ 60 หรือ 50 Hz มันกลับถูกออกแบบพิเศษให้ประหยัดพลังงาน โดยการขัดขวางการไหลของกระแสไฟฟ้าหลายครั้งต่อนาที อย่างเช่นหลอดฟลูออเรสเซนต์ มันประหยัดพลังงานโดยเปลี่ยนสลับโหมดปิด-เปิด ถึง 20,000 ครั้งต่อวินาที โดยที่ตาเรามองไม่เห็น ไม่รู้สึกถึง การที่มันขัดขวางการไหลของกระแสไฟฟ้าแบบนี้ มันกลับทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ปล่อย EMF ปริมาณมากในความถี่ที่สูงขึ้น จาก 60/50 Hz กลายเป็น 300 Hz ถึง 10 MHz (ความถี่คลื่นวิทยุ)
-ขอบคุณข้อมูล https://fatoutkey.com/ และ https://www.summacheeva.org/