ย้อนไปดูรายงานผลวิเคราะห์ตัวอย่างจีโนมกว่า 185,000 ตัวอย่างจากโครงการแบ่งปันข้อมูลไข้หวัดใหญ่โลก (จีไอเอสเอไอดี) ฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ใหญ่ที่สุดในโลก ชี้ให้เห็นว่า ไวรัสตัวนี้ มีต้นกำเนิดมาจากสายพันธุ์ L ที่เป็นสายพันธุ์ต้นกำเนิดพบครั้งแรกใน เมืองอู่ฮั่นประเทศจีน ก่อนที่ต่อมาเปลี่ยนแปลงแยกเป็น 8 สายพันธุ์หลัก ดังนี้
สายพันธุ์โควิด-19 ที่แตกจากสายพันธุ์ L
1.สายพันธุ์ S
ค้นพบช่วงต้นปี 2563 พัฒนามาจากสายพันธุ์ L ระบาดระลอกแรกในประเทศไทย เมื่อเดือน มี.ค.2563
2.สายพันธุ์ V (Valine)
3.สายพันธุ์ G (Glycine)
เป็นสายพันธุ์ที่ระบาดหลัก ในวงกว้าง มีความทนทานมากกว่าสายพันธุ์อื่น ระบาดหนักในหลายประเทศที่อยู่อันดับต้นๆ ของการระบาด ไม่ว่า สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ที่ระบาดซ้ำหลายรอบ ในรูปแบบซูเปอร์สเปรดเดอร์ พบว่า สายพันธุ์ G : D614G มีการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโนจากเดิมคือ Aspartate (D) ในตำแหน่งที่ 614 ของ spike โปรตีน หรือเรียกว่า D614 ไปเป็น Glycine เรียกว่า G614 คือกรดอะมิโนของ spike หรือหนามแหลมที่ยื่นออกมาในตำแหน่งที่ 614 จากสายพันธุ์เดิม จะพบมากที่สุด และเป็นสายพันธุ์ที่ครองโลก
4.สายพันธุ์ GR (Arginine)
เป็นไวรัสสายพันธุ์ลูกหลานจากสายพันธ์ G
5.สายพันธุ์ GH (Histidine)
แตกสายพันธุ์ลูกหลานจากสายพันธ์ุ G เช่นกัน เชื้อตัวนี้เคยระบาดในประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2563 ล่าสุด มีการยืนยันว่าการระบาดโควิดระลอกใหม่ในตลาดกลางกุ้ง สมุทรสาคร เกิดจากเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์จีเอช (GH) ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา , อ.แม่สาย จ.เชียงราย และ อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งต้นกำเนิดมาจากอินเดีย ระบาดมารัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา และมีบางส่วนลักลอบเข้าไทยทำให้มีการระบาดในประเทศไทย
6.สายพันธุ์ GV
7. สายพันธุ์ O
พวกที่กลายพันธุ์ไม่บ่อยรวมกัน
8.สายพันธุ์ B
หรือ SARS-CoV-2 VUI 202012/01 ต้นกำเนิดกลายพันธุ์จากประเทศอังกฤษ พบว่า ความรุนแรงของอาการไม่แตกต่างจากเชื้อสายพันธุ์อื่น แต่ข้อมูลทางวิชาการ ทราบว่า มีการระบาดได้รวดเร็วกว่าสายพันธ์ุอื่นประมาณ 1.7 เท่า
ขอขอบคุณข้อมูล https://news.trueid.net/detail/qeZWaxZArWqM