– หมอเรียน 6 ปี จะได้จบเป็นแพทย์มีคำนำหน้า นายแพทย์ แพทย์หญิง
– ปีแรกเรียนคณะวิทย์
ปี 2-3 เรียนชั้น preclinic
ปี 4-6 เรียนชั้น clinic
– ปี 1 ยังใช้ทักษะคล้ายๆตอนม.ปลายอยู่บ้าง เรียนไป ทำกิจกรรมไป
– ปี 2 น้องจะได้เรียนศาสตร์ที่เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ในภาวะปกติ
ศัพท์แพทย์ ภาษากรีก ลาติน เป็นพันๆคำในช่วงเวลา 1 ปี
ส่วนใหญ่เป็นการท่องจำ ไม่ต้องไบรท์มากแต่ต้องขยัน สม่ำเสมอ
ใจต้องรัก เพราะต้องอยู่กับกลิ่นฟอร์มาลีนตลอดปี
– ปี 3 เรียนโรค เชื้อต่างๆ ร่างกายมนุษย์ที่ผิดปกติ
ท่องจำเป็นหลักเหมือนเดิม
คนที่สอบได้เกรดสูงๆ อาจจะไม่ใช่คนที่ได้คะแนนสูงตอนสอบเข้าก็ได้
เพราะรูปแบบการเรียนต่างออกไป
– ปี 4-6 คือการทำงาน
ต้องใช้ EQ มากกว่า IQ มากมายมหาศาล
ความรับผิดชอบ การเสียสละ รู้จักการทำงานเป็นทีม
ต้องทำงานกับพยาบาล รุ่นพี่ รุ่นน้อง
รูปแบบการเรียนฉีกออกไปจากที่น้องเคยรู้จักแบบสิ้นเชิง
เหมือนถูกถีบ ลงไปในมหาสมุทร
ความรู้มหาศาล ที่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นฝั่ง
ก่อนสอบลงกอง (ไม่แก่จริงอาจจะไม่รู้จักคำนี้)
จะมีโพยข้อสอบลอยมาให้ท่องไปสอบ จากรุ่นพี่
น้องอาจจะรู้สึกแปลกๆ แต่โพยเหล่านั้น
คือสิ่งที่เค้าต้องการให้เรารู้ก่อนจบแพทย์ออกไป
ต้องเรียนให้เป็น
จึงจะเอาตัวรอดได้ ในแต่ละภาควิชาที่วนผ่าน
อารมณ์ประมาณ เที่ยวญี่ปุ่นทุกจังหวัด ภายใน 30 วัน
– 5-6 ปีนี้น้องต้องจากที่บ้านมาอยู่หอพัก
– น้องต้องสามารถอดนอน สามารถทำงานได้ 36 ชั่วโมงต่อเนื่อง
อาจได้กินข้าววันละมื้อ
อาจต้องยืนในห้องผ่าตัด 10 ชั่วโมงไม่ได้นั่ง
– น้องอาจต้องเสียความสดใส ในชีวิตวัยรุ่นตอนปลายไป
– ถ้ามีแฟนต่างคณะ โอกาสที่ต้องจบด้วยการเลิกราค่อนข้างสูง
– น้องต้องทำเกรดให้ดีที่สุด
ถ้าพี่อยากสร้างภาพพี่จะพูดว่า
‘เกรดไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตการเป็นแพทย์’ ฟังแล้วหล่อมั๊ยครับ
แต่ในโลกความเป็นจริง
เกรดตอนเป็นนักเรียนแพทย์นี่แหละกำหนด ชีวิตมะ-รึงเลย
– กดดันมั๊ย? เวลาก็ไม่ค่อยมี งานก็หนัก ยังต้องพะวงเกรดอีก
– จบออกมา น้องต้องไปใช้ทุนต่างจังหวัด 3 ปี
ปีแรก มักจะอยู่รพ.ใหญ่ ทำงานเป็นควาย บางที่หนักชนิดถ่อยเถื่อนเลยหล่ะ
เดือนนึงอาจจะได้นอนแค่ 10 – 15 คืน
ปีสอง ปีสาม อาจจะสบายหน่อย ออกไปอยู่รพ. อำเภอ
แต่ไกลผู้ไกลคน
– มีไม่กี่คนในรุ่นที่ถูกเลือกเป็นอาจารย์ จะออกไปใช้ทุนแค่ 1 ปีและกลับมา
เรียนต่อเลย พิจารณาจากเกรด กับ เส้นสาย (ลูกอาจารย์ นามสกุลต่างๆ)
– สามปีนี้แหละ ที่น้องจะได้สัมผัสระบบสาธารณสุขของบ้านเราแบบเข้าไส้
ขาข้างนึง อยู่ในคุก พี่ไม่ได้พูดเกินเลย
ถ้าเกิดอะไรขึ้น หันไปรอบๆ อาจหาไม่เจอซักคนที่คอยช่วยเรา
นอกจาก ขยัน อดทน เสียสละ น้องต้องอยู่ให้เป็น
ทำอย่างไร ให้ปลอดภัยที่สุดต่อคนไข้และตัวเราเอง
– รายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 6 หมื่นถึง 1 แสนนิดๆ
ถ้าคิดต่อชม. ต่ำกว่าแรงงานขั้นต่ำ
น้องต้องเก็บเงินส่วนนึงเอาไว้ ก่อนไปเรียนต่อด้วย
เพราะตอนเรียนต่อ เงินเดือนสองหมื่นนิดๆ
– น้องจากพ่อแม่มากี่ปีแล้วนะ ตอนนี้ … 9 ปีแล้ว
– จบ 6 ปี บวกใช้ทุนสามปี ถ้าน้องจะออกจากรพ. อำเภอ
กลับเข้ามาอยู่เมืองใหญ่
ไม่ต้องกรุงเทพ แค่จังหวัดใหญ่
พี่บอกเลยว่า ไม่พอ
น้องต้องเรียนต่อ ยิ่งยุคของน้องด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึง
– การจะเรียนต่อมีสองแบบ
1. เรียนต่อในโรงเรียนแพทย์
2. ทำงานใช้ทุนในรพ. ใหญ่ เช่น รพศ.หลักๆตลอดตอนใช้ทุน 3 ปี บวกเพิ่มอีกนิดหน่อย
สามารถไปสอบอนุมัติบัตรเป็นแพทย์เฉพาะทาง
(ถ้าอยากทำแบบสอง น้องต้องสมัครตอนอยู่ปี 6 คนแย่งกันเยอะเหมือนกัน ดูเกรด กับ เส้น)
– ถ้าจะเรียนต่อในโรงเรียนแพทย์หลังใช้ทุนครบสามปี ทำได้สองแบบ
1. สมัครด้วยตนเอง เรียกว่า free train
2. สมัครแบบมีต้นสังกัดส่งให้มาเรียน เรียกว่า ทุนต้นสังกัด
คือน้องต้องกลับไปทำงานให้รพ.ต้นสังกัดหลังจากเทรนจบเป็นแพทย์เฉพาะทาง
– พื้นที่การได้เข้าเรียนต่อมีจำกัด ยิ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ดังๆ ยิ่งแข่งขันสูง
ถ้าเป็น free train น้องต้องได้เกรดสูงถึงสูงมาก
ทุนต้นสังกัด อาจไม่ต้องเกรดดีมาก แต่การจะได้ทุนต้นสังกัดนั้น
อาจต้องอาศัย เส้น และ ดวง ไม่ใช่ได้กันง่ายๆเช่นกัน
– การที่อาจารย์จะพิจารณารับว่าจะเอาใครมาเรียนต่อ
ไม่มีการสอบเข้า โดยทั่วไปจะดูสามอย่างตามลำดับดังนี้
1. เส้น
2. เกรด
3. ทุนต้นสังกัด
เค้าอาจจะเลือกกันตั้งแต่ก่อนเอาคุณไปสัมภาษณ์แล้วด้วยซ้ำ
(พี่พูดตรงไปมั๊ยวะเนี่ย)
– ไปๆมาๆมีแต่เส้น กับ เกรด
– การเทรนแพทย์เฉพาะทางใช้เวลา สามสี่ปี โดยเฉลี่ย
ต้องอดทนกับการโดนโขกสับ บางสาขาก็ถือว่าโหดมาก
ร้องไห้ ลาออก กันไปก็มี
– หลังจากจบแล้วก็ต้องอ่านหนังสือสอบบอร์ด
– จบแพทย์เฉพาะทางมาแล้วเราก็จะได้บอร์ด แต่ก็มักต้องเรียนต่อยอด
ในสาขานั้นๆอีก 2-3 ปี เพื่อให้ได้ subboard
– ช่วงที่เทรนอยู่ 3-6 ปีนี้จะค่อนข้างจนมาก เพราะรายได้สองหมื่น
ต้องอยู่เวรเพิ่ม การจะมีรถมีบ้านเป็นของตัวเอง แทบจะลืมไปได้เลย
– หลังจากเข้าแพทย์มาถึงตอนนี้ก็ … 12 – 15 ปีแล้ว
อายุประมาณ 30 – 33 ปี น้องก็จะจบไปเป็นแพทย์เฉพาะทาง
เพิ่งได้เริ่มต้นชีวิต ขณะที่เพื่อนๆที่เรียนอาชีพอื่นไปถึงไหนกันหมดแล้ว
– การจะเชี่ยวชาญได้นั้น ต้องอาศัยประสบการณ์ทำงานอีกเป็นสิบปี
เพื่อที่จะมั่นใจมากพอในการรักษาคนไข้ซักคนนึง ให้ผิดพลาดน้อยที่สุด
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลบางส่วน
https://pantip.com/topic/32432066