กรกฎาคม ปี 2005 ทาง Konica Minolta และ ทาง Sony ได้ทำการตกลงร่วมกันที่จะพัฒนากล้องดิจิตอล SLR ข้อตกลงนั้นทำให้เกิดการใช้เทคโนโลยีร่วมกันระหว่างทั้งสองบริษัท เช่น auto focus, metering, anti-shak, ฯลฯ
หลังจากนั้น 6 เดือนทาง Konica Minolta ได้ประกาศถอนตัวออกจากธุรกิจกล้องดิจิตอล และโอนถ่ายกล้องและอุปกรณ์รวมทั้ง Maxxum/Dynax lens mount และ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกล้อง SLR ไปให้ทาง Sony จัดการ
หลังจากนั้นอีกหนึ่งปีเราก็ได้สัมผัสกับกล้อง Sony Alph DSLR – A100 ซึ่งเป็นกล้อง compact และมีความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ซึ่งมี Konica Minolta lens mount ติดตั้งอยู่ รวมทั้งระบบ Ani-shake ที่ตอนนี้เปลี่ยนไปเรียกว่า Super SteadyShot
จึงสามารถพูดได้ว่ากล้องตัวนี้มีการใช้เทคโนโลยีของทั้งสองค่าย นอกจากนี้ทาง Sony เองก็มีการปรับปรุงพัฒนากล้องให้มีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามยิ่งขึ้น และสายการผลิตที่มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น ตัว lens mount นั้นก็เปลี่ยนชื่อเป็น Alpha mount ซึ่งทาง Sony ได้ทำการเปิดตัว lens ต่างๆ มากถึง 19 แบบ ที่สามารถนำมาใช้ร่วมกับกล้อง Sony Alpha ได้
เทคโนโลยีหลัก ๆ
Lens Mount
Sony Alpha lens mount สามารถใช้ร่วมกับ lens ต่างๆ ของ Minolta และ lens ของค่ายอื่นบางตัวได้ด้วย
เทคโนโลยี CCD
10 megapixel APS-C CCD ทาง Sony ได้หันมาสนใจพัฒนาตัว CCD แทนที่จะเป็น CMOS ในกล้องตัวนี้ ดังนั้น sensor ของกล้องตัวนี้จึงแตกต่างไปจาก DSC-R1 ของ Sony ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า CCD ตัวนี้จะเหมือนกับ 23.6 x 15.8 mm CCD ที่ใช้ใน Nikon D200 หรือไม่
ระบบป้องกันภาพสั่นไหว
ทาง Sony เปลี่ยนชื่อ ระบบ Anit-Shake ของ Minolta เป็น Super SteadyShot แต่มีการทำงานเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม เราทราบมาว่าทางวิศวกรของ Sony ได้มีการพัฒนาระบบนี้ให้ก้าวไปอีกขั้น ซึ่งทำงานได้ดีกว่าเดิมมาก
ระบบป้องกันฝุ่น
ระบบ Aniti-Dust ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในกล้องดิจิตอลหลาย ๆ รุ่น ซึ่งปัญหาเรื่องฝุ่นนี้ก็เป็นปัญหาตั้งแต่เริ่มแรกที่เรามีกล้องดิจิตอล SLR และเจ้าฝุ่นนั้นก็มีผลกับกล้องแตกต่างกันไปในแต่ล่ะรุ่น ทางด้าน Olympus ได้สร้าง SSWF filter ขึ้นมา ส่วนทาง Sony ก็ดูจะสนใจเทคโนลีนี้เป็นอย่างมาก ในขั้นแรก ani-static coating จะอยู่บน low-pass filter ด้านหน้าของ CCD เพื่อป้องกันฝุ่นที่จะมาจับ ขั้นที่สองตัว Aniti-Dust vibration ซึ่งจะทำงานเพื่อ power off โดยจะมีการสั่นสะเทือนเพื่อให้ฝุ่นที่จับอยู่หลุดออก
ADVERTISEMENT
REPORT THIS AD
Bionz Image Processor
Sony ได้ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ image processor ที่อยู่ใน Canon ทางด้าน Sony จึงได้ออก Bionz image processor ซึ่งมีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดจากกล้อง SLR ของ Konica Minolta ตัวอื่น ๆ ซึ่งทำให้เจ้ากล้อง Sony Alpha DSLR ตัวนี้มีฟังก์ชันการใช้งานที่พิเศษ ทาง Sony ได้กล่าวว่าเจ้า Processor ตัวนี้จะทำงานได้เร็วที่สุดในระบบแบบเดียวกัน หากเปรียบเทียบกับของค่ายอื่น
Eye Start AF
เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่ของใหม่อะไร และเป็นเทคโนโลยีที่เราเห็นมาแล้วใน Konica Minolta SLR แต่ทาง Sony มีความต้องการที่จะใช้เจ้าเทคโนโลยีนี้ต่อไป Sony Alpha DSLR มี Eye Start AF ซึ่งทำงานตามชื่อของมัน คือตรวจจับตา และทำการ focus โดยอัตโนมัติ เมื่อผู้ถ่ายนำกล้องและส่วนที่เป็น viewfinder หรือ eyepiece เข้ามาใกล้ตาเพื่อทำการถ่าย เจ้าตัว Eye Start AF ก็จะทำงานทันที และเริ่มหา focus ของวัตถุที่เรากำลังจะทำการถ่ายภาพ
การถ่ายภาพต่อเนื่อง
Sony Alpha DSLR ตัวนี้สามารถให้คุณถ่ายภาพต่อเนื่องได้จนกว่า memory จะเต็มเลยทีเดียว แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในกล้องดิจิตอล SLR ของหลาย ๆ ค่าย แต่ Sony Alpha DSLR ตัวนี้ทำให้คุณสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ที่ 3 เฟรมต่อวินาที ในทุกคุณภาพของภาพที่เราตั้งค่าไว้ (ไม่นับไฟล์แบบ RAW) และสามารถถ่ายต่อเนื่องได้จนกว่า memory หรือ storage card จะเต็ม
และสินค้าอื่นๆ
1913 : กล้องถ่ายรูปชนิด 35mm ถูกคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1913 หลังจากนั้นนานถึง 62 ปี ต้นแบบกล้องดิจิตอลตัวแรกของโลกก็เกิดขึ้น
1975 : Eastman Kodak ได้ออกแบบกล้องไร้ฟิล์มตัวนี้โดยใช้ Solid State CCD ของบริษัท Fairchild Semiconductor ในปี 1973 กล้องตัวนี้หนัก 3.6 กก. บันทึกเป็นภาพขาว-ดำความละเอียดสูงถึง 0.01 ล้านพิกเซล (100 x 100 พิกเซลหรือ 10,000 พิกเซลนั่นเอง) ลงเทปบันทึกภาพ ใช้เวลา 23 วินาทีในการบันทึกภาพแรกสำเร็จในปี 1975 แต่กล้องตัวนี้ก็ไม่ได้มีการผลิตออกมาเพื่อจำหน่ายแต่อย่างใด
1976 : Canon AE-1 กล้องฟิล์ม 35mm ตัวแรกที่ใช้ micro-processor ในตัวออกวางตลาด
1979 : Sony TPS-L2 Walkman ตัวแรกของ Sony ออกมาเริ่มสร้างตำนานจนทุกวันนี้ ราคาอยู่ที่ $200 ในสหรัฐฯ เรียกกันว่า Soundabout
1981 : Model 5150, IBM PC ตัวแรกของโลกออกสู่ตลาดในฟลอลิดา สหรัฐฯ สเปก CPU Intel 8088, Clock speed 4.77MHz, Memory (RAM) 16K, ไม่มีฮาร์ดดิสก์
1981 : การเกิดขึ้นของ Sony Mavica สร้างยุคใหม่ของกล้องถ่ายรูป MAVICA ย่อมาจาก Magnetic Video Camera หลายคนคงทันเห็น หรือใช้กล้อง Mavica แต่นั่นไม่ใช่รุ่นที่เรากำลังพูดถึง กล้อง Mavica ตัวแรกนี้เป็นกล้อง SLR !!!! บันทึกภาพนิ่งคุณภาพ TV ลง Floppy Disk ขนาด 2 นิ้ว มีเลนส์ 3 ตัว 25mm f/2, a 50mm f/1.4, และ 16-65mm f/1.4 zoom ใช้ CCD ความละเอียด 570 x 490 หรือประมาณ 3 แสนพิกเซล ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AA 3 ก้อน กล้องตัวนี้ไม่มีจอภาพ แต่ดูภาพได้บน TV
1982 : Sony CDP-101 เป็น CD Audio Player ตัวแรกของโลกที่วางตลาดคอนซูมเมอร์ ราคาอยู่ที่ $900
1984 : Apple ออกวางตลาดเครื่อง Macintosh เครื่องแรก ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่เน้นการใช้งานด้านกราฟฟิกและมี User Interface ที่ใช้งานง่าย เครื่องแมคเครื่องนี้ไม่มีชื่อรุ่น มีแต่ชื่อ “Macintosh” ติดอยู่ด้านหลังเครื่อง ราคา $2495 ใช้ CPU68000 ความเร็ว 8MHz มีแรม 128KB และ Floppy Drive ขนาด 3.5 นิ้วความจุ 400KB มาพร้อมจอขาว-ดำขนาด 9 นิ้ว
1986 : Kodak พัฒนากล้อง Megapixel ขนาดพกพาตัวแรกของโลก มี CCD ความละเอียด 1.4 ล้านพิกเซล รุ่น Videk Megaplus ราคาเริ่มต้นที่ $10000 !! แต่กล้องตัวนี้ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นกล้องดิจิตอลตัวแรกของโลกได้ เพราะว่าต้องใช้ singnal processing unit ภายนอก และต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพอีกที
1988 : Fuji DS-1P เป็นกล้องดิจิตอลตัวแรกที่ใช้หน่วยความจำเป็นการ์ดและวางจำหน่ายในวงกว้าง ถึงจะเป็นการบันทึกแบบดิจิตอลอย่างแท้จริง แต่การ์ดที่ใช้ยังเป็นหน่วยความจำแบบ SRAM ซึ่งต้องใช้ไฟเลี้ยงตลอดเวลา
1990 : Adobe Photoshop 1.0 ออกแล้ว ทำงานบนเครื่อง Mac
1991 : Kodak DCS100 เป็น DSLR ตัวแรกของโลก อันที่จริงเป็นกล้อง Nikon F3 ประกอบกับ digital back ของโกดักที่มี CCD 1.3 ล้านพิกเซล กล้องตัวนี้ต้องใช้ร่วมกับ DSU (Digital Storage Unit) สำหรับเป็น harddisk เก็บภาพ มีจอดูภาพและถ่ายโอนจาก DSU ไปยัง PC ได้
1994 : Apple Quick Take 100 เป็นกล้องดิจิตอลตัวแรกของโลกที่ขายกันในตลาดคอนซูมเมอร์ เป็นกล้องถ่ายภาพสี ความละเอียด 640×480 หรือประมาณ 3 แสนพิกเซล ราคาอยู่ที่ $749 มีหน่วยความจำในตัว เก็บภาพได้ 8 ภาพ หลังจากนั้นก็ยังมีกล้องรุ่น Quick Take อื่นๆ ออกมาเรื่อยๆ
1994 : Kodak ออกกล้องดิจิตอลระดับโปรตัวแรกวางขายสำหรับช่างภาพ เป็นกล้อง Nikon N90 กับ Digital back เซนเซอร์ขนาด 1024 x 1280 พิกเซลของโกดัก ISO 200 – 1600. Shutter 1/8000 – 30 seconds. สเปกไม่ใช่เล่น ราคาก็ไม่เล่น $17,950 เท่านั้นเอง หลังจากนั้นกล้องแนวนี้ก็มีออกรุ่นใหม่ๆมาอยู่เรื่อยๆ เช่น DCS460 (1995) ซึ่งความละเอียดสูงถึง 6 ล้านพิกเซล (2036 x 3060) หรือรุ่น DCS 3 ที่ออกกับกล้อง Canon EOS-1N ความละเอียด 1.3 ล้าน และอีกหลายรุ่น
1994 : MJ-700V2C Inkjet สีคุณภาพ photo ตัวแรกของโลก ไม่ใช่ของใครที่ไหน ก็ EPSON เจ้าประจำ หน้าตาไม่ต่างจากปรินเตอร์ปัจจุบันซักเท่าไหร่
1994 : Compact Flash เกิดแล้ว โดย Sandisk นี่เอง ความจุเริ่มต้นที่ 2-24MB มีตัวประมวณผลในตัวสำหรับประมวลการถ่ายโอนข้อมูล ใช้หน่วยความจำชนิด Flash เป็น non-volatile ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่เพื่อรักษาข้อมูลไว้
1994 : Smart Media Card เกิดตามมาติดๆ ต่างกับ CF ที่ไม่มีตัวประมวณผล ทำให้บางลง แต่ต้องใช้ตัวประมวลผลที่อยู่ในกล้อง
ที่มาจาก : http://www.a-price.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=565283&Ntype=3
ขอบคุณแหล่งข้อมูล https://58540061blog.wordpress.com