ปัญหาสิว เป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ธรรมชาติของผิวหน้าแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันออกไป จึงส่งผลต่อใบหน้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทำให้บางคนเป็นสิวมาก ส่วนบางคนก็เป็นสิวน้อย แต่เชื่อได้เลยว่าเกือบทุกคนคงต้องเผชิญกับปัญหาสิวกันมาบ้างแล้วล่ะ บางคนดูแลตัวเองกันแบบสุดฤทธิ์ก็ยังมีสิวผุดขึ้นมาให้ช้ำใจ ส่วนคนที่ไม่ค่อยเป็นสิวก็นับว่าเป็นบุญจริง ๆ (ไม่รู้ว่าทำบุญด้วยอะไร) ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงการเป็นสิวไม่ได้ เราก็ต้องทำความรู้จักธรรมชาติของสิวเพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่เครียดมากนัก เพื่อรอคอยโอกาสที่จะกำจัดสิวที่มีอยู่ออกไป
ถ้าพูดถึงจุดเริ่มต้นของการเกิดสิว มันก็มักจะเริ่มเข้ามาอยู่กับเราตอนที่เราเริ่มโตเป็นหนุ่มสาว จนเราอายุย่างเข้า 30 มันก็จะค่อย ๆ ลดน้อยหายไปเอง แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะรอดจากการเป็นสิวเมื่อมีอายุมากขึ้น เพราะสิวยังอาจเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุโดยที่พักอาศัยของสิวนั้นก็คือรูขุมขนของเราที่มีมากกว่า 20,000 รูบนใบหน้า ในโพรงรูขุมขนจะประกอบไปด้วยขนและต่อมไขมัน
โดยธรรมชาติแล้วต่อมไขมันจะผลิตน้ำมันออกมาเพื่อเคลือบผิวไม่ให้แห้งจนเกินไป แต่ต่อมไขมันอาจผลิตน้ำมันมากเกินไปด้วยการควบคุมของฮอร์โมนแอนโดรเจน ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ต่อมไขมันมีขนาดใหญ่ เมื่อเรามีน้ำมันมากขึ้นและไม่สามารถออกจากรูขุมขนได้ทันเพราะมีสิ่งกีดขวางทางออก มันก็จะกลายเป็นสิวได้ในที่สุด
สิว
- เซ็กซ์กับสิวเราอยู่ร่วมกันได้ เซ็กซ์ไม่ได้มีผลต่อการเกิดสิวอย่างที่หลาย ๆ คนคิด และถึงคุณจะช่วยตัวเองอย่างหนักหน่วงแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้สิวเพิ่มขึ้นหรือลดลง เพราะจนถึงปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่รองรับความเชื่อที่ว่าเซ็กซ์และการช่วยตัวเองเกี่ยวข้องกับการเกิดสิว
- ปัจจัยภายในร่างกายและความสะอาดภายนอก สาเหตุการเกิดสิวไม่ได้เกิดเพราะความสกปรกเพียงอย่างเดียว เพราะสิวสามารถเกิดจากฮอร์โมนและสาเหตุอื่น ๆ ได้ เช่น คนที่ระบบน้ำเหลืองไม่ดีก็สามารถเป็นสิวได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับความสะอาดแต่อย่างใด
- ช็อกโกแลตกับสิว จริง ๆ แล้วช็อกโกแลตไม่ได้เป็นตัวการทำให้เกิดสิวอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่นมและน้ำตาลที่ใส่ลงไปในช็อกโกแลตต่างหากที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดสิว ดังนั้นถ้าอยากจะกินช็อกโกแลตจริง ๆ ก็ขอแนะนำให้เลือกเป็น “ดาร์คช็อกโกแลต” แทน อาจหวานน้อยหน่อยแต่ก็มีประโยชน์มากเลยล่ะ
- ตำแหน่งสิวบอกโรคได้ เช่น สิวที่หน้าผากเกิดจากระบบย่อยอาหารมีปัญหาและการนอนดึก, สิวระหว่างคิ้วอาจเป็นคนที่ไม่สามารถย่อยแลคโตสจากนมได้ มันเลยแสดงผลให้เห็นบริเวณนั้น, สิวที่แก้มเกิดจากการใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสม, สิวที่เกิดรอบดวงตามักเกิดจากภูมิแพ้และแสงแดด ส่วนสิวบริเวณคางมักเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีรสจัดนั่นเอง
- การรักษาสิวด้วยแพทย์ ปกติแล้วการจ่ายยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาสิวมักจะเป็นทางเลือกสุดท้าย หมอจะใช้ก็ต่อเมื่อการป้องกันต่าง ๆ ทำมาแล้วแต่ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันและการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ เพราะนั่นอาจหมายความว่าสิวที่คุณเป็นอาจมีสาเหตุมาจากฮอร์โมน ในกรณีนี้คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการปรับฮอร์โมนอย่างปลอดภัย
สาเหตุการเกิดสิว
- ฮอร์โมนแอนโดรเจน (androgens) อย่างที่บอกไปแล้วว่าสิ่งที่เป็นตัวควบคุมการสร้างน้ำมันก็คือฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่พบได้มากในเพศชาย แต่ก็พบได้ในเพศหญิงเช่นกัน โดยช่วงที่ฮอร์โมนแกว่งหรือมีการเปลี่ยนแปลง แต่ละคนก็จะเป็นสิวแบบพีคสุด ๆ อย่างผู้หญิงฮอร์โมนจะแกว่งตอนที่รอบเดือนมาหรือกำลังตั้งครรภ์ ส่วนผู้ชายฮอร์โมนจะพลุ่งพล่านไปตามธรรมชาติ ในช่วงวัยรุ่นหรือในช่วงเครียด ๆ
- กรรมพันธุ์ของแต่ละบุคคล ทำให้ผิวหนังแตกต่างกันออกไปทั้งโครงสร้างของผิว การสร้างไขมันที่มากหรือน้อยเกินไป ความสามารถในการซ่อมแซมผิวหนังระหว่างการเกิดสิวและการซ่อมแซมเมื่อหายจากอาการของสิวอักเสบแล้ว
- ชอบวุ่นวายกับใบหน้า เช่น การจับ ลูบ แคะ แกะ เกาใบหน้าอยู่บ่อย ๆ เราต้องอย่าลืมว่ามือเราไปจับอะไรมาบ้างในแต่ละวัน ถ้าเราไม่ได้ล้างมือ แล้วมาสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ ก็อาจจะก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือนำพาแบคทีเรียมาทำให้สิวที่มีอยู่เกิดการอักเสบได้อีกด้วย, การขัดหน้าบ่อย ๆ อาจกลายเป็นสาเหตุทำให้สิวเห่อได้ เพราะเวลาที่เราขัดหน้า นั่นหมายถึงเรากำลังทำให้ผิวหน้าหนาขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทำให้รูขุมขนตีบลง น้ำมันที่ควรจะออกมาก็ออกมาไม่ได้ (ขัดหน้าได้แต่อย่าบ่อย ถ้าเป็นสิวอยู่ก็ไม่ต้องขัด รอให้หายก่อนดีกว่าแล้วจึงค่อยขัด), การล้างหน้าบ่อยเกินไปหรือมากกว่าวันละ 2 ครั้ง จะเป็นการกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากผิดปกติ, พฤติกรรมบางอย่างที่รบกวนผิวหน้า เช่น บางคนชอบเอามือเสยผม บางคนชอบบีบจมูก ใช้โทรศัพท์แนบกับแก้มขณะสนทนา หรือชอบนั่งเท้าคางหรือแก้มเป็นประจำ เป็นต้น
- กิจวัตรประจำวันต่าง ๆ เช่น การไม่รักษาความสะอาด, การล้างหน้าหรือเครื่องสำอางไม่สะอาด, การใช้ผลิตภัณฑ์ปกปิดตำหนิต่าง ๆ หรือเครื่องสำอางที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม, การใช้ครีมหรือแป้งที่อาจเป็นต้นเหตุของสิวบนใบหน้า, การสวมหมวกหรือหมวกกันน็อกโดยไม่เคยซักทำความสะอาด, การนอนตะแคงแล้วน้ำลายไหลออกมาด้านข้าง, อาชีพแม่ครัวที่ได้รับควันจากสารพวกไขมันและน้ำมันต่าง ๆ, ช่างเครื่องที่ทำงานกับน้ำมัน, คนที่ใช้กระดาษคาร์บอน เป็นต้น
- ล้างหน้าผิดวิธี อย่าคิดไปเองว่าแค่การใช้โฟมล้างหน้าปกติจะช่วยทำให้ผิวหน้าของคุณสะอาดแบบหมดจด แม้จะเอามือลูบหน้าแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามีความมันหลงเหลืออยู่หรือมีอะไรตกค้าง เพราะเครื่องสำอางที่เราโปะไปบนใบหน้านั้นมันไม่สามารถล้างออกได้ด้วยโฟมล้างหน้าเพียงอย่างเดียว สุดท้ายเครื่องสำอางเหล่านั้นก็จะผสมกับโฟมล้างหน้าจนเกิดการอุดตันจนทำให้สิวผุดขึ้นมา และยังรวมไปถึงคนที่ไม่แต่งหน้า พอหน้ามันแล้วก็ล้างหน้ามันทั้งวัน แทนที่สิวจะหายก็กลายเป็นการกระตุ้นการเกิดสิวเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
- ความมันบนใบหน้า ความมันเป็นสิ่งที่สิวชอบมากเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาจนทำให้หน้ามัน แล้วเราก็ปล่อยไว้อย่างนั้น โดยไม่หาทางทำความสะอาดออกมา เจ้าน้ำมันก็จะตันอยู่ในรูขุมขน พอมันอยู่นาน ๆ เข้าก็จะไปผสมกับเซลล์ที่ตายแล้วและทำให้เกิดเป็นสิวอุดตันอยู่ในนั้น ซึ่งเจ้าสิวชนิดนี้นี่แหละที่เป็นตัวการสำคัญทำให้มีปัญหาสิวชนิดอื่นตามมาแบบไม่รู้จบ
- เครียดมากเกินไปแถมนอนดึกอีกต่างหาก นับว่าเป็นพฤติกรรมยอดฮิตของคนเมืองเลยก็ว่าได้ คุณสามารถสังเกตได้เลยว่าในช่วงสอบหรือในช่วงที่ต้องเร่งส่งงาน เราจะมีโอกาสเป็นสิวเพิ่มมากขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเราเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนออกมา ซึ่งฮอร์โมนตัวที่ว่าจะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้ยิ่งเป็นสิวมากขึ้น
- มลภาวะและแสงแดด สำหรับคนที่ทำงานในห้องแอร์คงไม่ต้องกังวลเรื่องแดดมากนัก แต่ใช่ว่าจะหลบสิวพ้นซะเมื่อไหร่ เพราะการอยู่ในห้องแอร์นาน ๆ จะทำให้ผิวแห้ง และอากาศที่วนเวียนอยู่ในนั้นยังอาจไม่สะอาดเพียงพอจนไปกระตุ้นการเกิดสิวได้ ส่วนคนที่หลีกเลี่ยงแสงแดดไม่พ้น ความร้อนจากแสงแดดจะทำให้น้ำในผิวระเหยออกไป เมื่อหน้าแห้ง ต่อมไขมันก็จะผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หน้ามันและเป็นสิวเพิ่มในที่สุด และยิ่งสภาพอากาศในบ้านเราที่ทั้งร้อนและชื้นแบบนี้ ก็ยิ่งเป็นที่มาของการเกิดสิวผดและสิวชนิดอื่น ๆ ได้อีกด้วย
- การสูบบุหรี่ มีงานวิจัยหลายงานที่ชี้ว่า การสูบบุหรี่จะทำให้เส้นเลือดตีบ ทำให้ผิวหนังชั้นนอกได้รับสารอาหารและออกซิเจนไม่เพียงพอ เมื่อผิวอันสวยใสของเราได้รับสารอาหารน้อยลง ก็จะทำให้ผิวไม่แข็งแรงพอที่จะฟื้นฟูตัวเองยามสึกหรอ ไม่สามารถป้องกันตัวเองจากแบคทีเรียได้ดีเท่าที่ควร จนทำให้เกิดสิวอุดตันทั้งหัวขาวและหัวดำในที่สุด
- อาหารที่อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว เช่น สาหร่ายทะเล ผักขม และหอย ซึ่งมีไอโอดีนและฟลูออไรด์ที่ทำให้เป็นสิวมากขึ้น รวมไปถึงแป้ง น้ำตาล นมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ที่หากทานมากไปก็อาจทำให้สิวอักเสบกำเริบได้ เนื่องจากในน้ำนมจะมีฮอร์โมนแอนโดรเจน และสารที่เป็นตัวกระตุ้นสิวผสมอยู่ เช่น คาร์โบไฮเดรต, ไอโอดีน, โอเมก้า 6 เป็นต้น และในปัจจุบันได้มีงานวิจัยออกมายืนยันแล้วว่า “อาหารไม่ใช่ปัจจัยโดยตรงที่ทำให้เกิดสิวได้ แต่สารที่อยู่ในอาหารต่างหากที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิว” หรือในคนมีระบบน้ำเหลืองในร่างกายไม่ดี พอกินอะไรเข้าไปก็อาจมีสิวโผล่บนใบหน้าได้ง่าย และที่สำคัญคนกลุ่มนี้มักไม่รู้ตัวด้วยว่าอาหารและระบบน้ำเหลืองมีความสัมพันธ์กับการเกิดสิว เลยทานอาหารกันอย่างไม่ระมัดระวัง พอเป็นสิวก็ทำให้เครียด พอเครียดสิวก็เห่ออีก จึงกลายเป็นปัญหาไม่รู้จบนั่นเอง ถ้าคุณเป็นแผลแล้วหายยาก แถมมีหนองแทบทุกครั้งที่เป็นแผล ก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่าระบบน้ำเหลืองเราอาจไม่ดี และให้หลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารทะเล อาหารรสจัด และหน่อไม้
- ใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม อย่างบางคนเป็นสิวง่ายและแพ้ง่ายอยู่แล้ว แต่ก็ยังเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมทั้งน้ำหอมและแอลกอฮอล์ พอใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มันก็จะเกิดการระคายเคือง แล้วก็จะเป็นสาเหตุของการเกิดสิวนั่นเอง รวมถึงคนที่ชอบซื้อสกินแคร์ตามแฟชั่น อยากลองใช้ของใหม่ ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเจอสิ่งที่เหมาะกับตัวเองอยู่แล้ว ก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน
- ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมที่อาจทำให้เกิดสิว ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามได้แสดงรายการส่วนประกอบของเครื่องสำอางที่อาจทำให้ใบหน้าที่เนียนสวยกลายเป็นมีสิวได้ โดยเฉพาะกับคนหน้ามัน จะยิ่งกลายเป็นสิวมากขึ้น มีดังนี้ สารสกัดจากสาหร่าย, ลาโนลิน, โกโก้, ไขมะพร้าว, น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันจมูกข้าว, น้ำมันเมล็ดฝ้าย Acetol acetilan, Amberate P, Butyl Sterate, Colloidal Sulfur, Crude coal tar, Decyl oleate, D & C Red #17,21,3, Glyceryl Stearate SE, Isocetyl Stearate, Isopropyl Isostearate, Isopropyl Myristate, Isopropyl Palmitate, Isopropyl lanolate, Isosteary neopentanoate, Lauric 23, 4, Lauric acid, Lanosterin, Langogene, Myristic acid, Octyl Palmitate, Octyl Stearate, Oleth-3, PEG 75 Lanolin, PEG 16 Lanolin, PEG 8 Stearate, Propylene Glycol Monostearate, Sterolan, Sodium Chloridem Sodium Laureth Sulfate, Sodium Lauryl Sulfate, *Crisco, *Hygrogenated Vegetable Oil, *Myristyl myristate, Mink Oil, PG 2 myristyl propionate, *Sulfonated Castor Oil และผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำว่า คุณควรจะระมัดระวังเครื่องสำอางที่มีฉลากเขียนว่า “
-
ได้รับการทดสอบจากผู้ชำนาญด้านความงามแล้ว“, “ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้” และที่ระบุว่า “ผสมตัวยา” เพราะเครื่องสำอางเหล่านี้ยังอาจก่อให้เกิดสิวได้ เพราะยังอาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เป็นสิวตามที่ระบุไว้ในรายการนี้ ดังนั้นทางที่ดี คุณควรอ่านฉลากสักนิดว่าเครื่องสำอางนั้นมีส่วนประกอบดังกล่าวและทดสอบว่าเครื่องสำอางนั้นมีน้ำมันหรือไม่
- อุปกรณ์แต่งหน้าที่หมักหมม ไหนจะแปรงปัดแป้ง แปรงปัดแก้มสารพัดที่เราจะใช้ เมื่อใช้แล้วก็อย่าลืมล้างทำความสะอาดแปรงหลังการใช้ด้วยล่ะ เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์แต่งหน้ากลายเป็นบ้านของแบคทีเรียจนทำให้เกิดสิว
- สิ่งประทินผม เช่น สีย้อมผม แชมพูขจัดรังแค น้ำมันใส่ผม สเปรย์แต่งผม และเหงื่อจากหนังศีรษะ
- ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ ก็อาจทำให้บางคนเกิดเป็นสิวขึ้นบริเวณมุมปากไปจนถึงคางรวมถึงบริเวณใกล้เคียงได้ ซึ่งสิวลักษณะนี้จะค่อนข้างรักษาได้ยากและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีทั่วไป แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้ยาสีฟันที่ไม่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ อาการของสิวก็จะดีขึ้นเอง
- ยาบางชนิด ในระหว่างที่เราทานยาเพื่อรักษาอาการหรือโรคที่เป็นอยู่ ยาเหล่านั้นอาจเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้เช่นกัน เพราะยาบางตัวอาจมีสารที่ไปกระตุ้นให้ฮอร์โมนและเคมีในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ยาต้านอาการชัก (Hydantoin derivatives, Phenobarbitol, Trimethadione), ยาสำหรับต้านเชื้อวัณโรค (Ethambutol, Ethionamide, Isoniazid), ยาที่มีธาตุในหมู่ฮาโลเจน (Halogen) เป็นส่วนประกอบอย่างคลอไรด์และไอโอดีน, ยาที่มีผลต่อฮอร์โมนโดยตรง อย่าง androgenic hormones (มีผลมากกับผู้หญิง) corticosteroids, depoprovera, DHEA และ oral contraceptives, ยาอื่น ๆ (Antabuse, Dantrolene, Lithium salts, Maprotiline, Psoralens, Quinine, Rifampin, Thiouracil, Thiourea), ยาปฏิชีวนะ, ยาสเตียรอยด์ทั้งชนิดทาและกิน เป็นต้น ถ้าหากคุณกำลังใช้ยาเหล่านี้อยู่ คงต้องทำใจและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาทางแก้ไขกันต่อไป
วิธีรักษาสิว
- อยากสิวหายต้องใจเย็น ข่าวร้ายที่เราควรรู้เอาไว้ก็คือ “เราไม่มีทางทำให้สิวหายขาดได้” และ “การรักษาก็ไม่มีทางลัดให้เดินหลายทาง” การรักษาสิวจึงต้องใช้ความตั้งใจ ความใจเย็น และความอดทน ยิ่งคนที่ใช้ยาที่สกัดมาจากวิตามินเอก็ต้องทำใจไว้เลย เพราะยาจะออกฤทธิ์ช่วยดันสิวอุดตันให้โผล่ออกมาบนผิว และอาจต้องใช้เวลาอย่างต่ำกว่า 8 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลชัดเจน ทำให้บางคนรอไม่ไหว หรือเห็นสิวโผล่ขึ้นมาระหว่างการรักษาก็ทำให้ถอดใจ จึงทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง สุดท้ายเมื่อสิวลุกลามจนเกินเยียวยาได้ด้วยตัวเอง ก็หันไปรักษาด้วยวิธีอื่นที่ทำให้ต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก
- ปรับเปลี่ยนทัศนคติ หลาย ๆ คนมักคิดว่าที่ตัวเองเป็นสิวนั้นเกิดจากการรักษาความสะอาดไม่เพียงพอ ตัวเองสกปรก และคิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่จริง ๆ แล้วสิวเกิดมาได้จากหลายสาเหตุมาก ซึ่งหลาย ๆ อย่างเราเองก็ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้น คุณควรปรับเปลี่ยนความคิดและทัศนคติเสียใหม่ว่า “ที่สิวมันเกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพราะเราสกปรกผิดจากชาวบ้าน แต่จริง ๆ แล้วสิวมันเป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อมีสิวขึ้นมาแล้วก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะเริ่มรักษาอย่างถูกวิธีและมันก็จะหายไปได้เอง” ถ้าเราปรับความคิดใหม่ได้ จะทำให้ความเครียดส่วนนี้ลดน้อยลง ทำให้การรักษาสิวได้ผลดีมากขึ้น
สังเกตตัวเองสักนิด ให้ลองสังเกตว่าเรามักจะเป็นสิวตอนไหน หน้าร้อนหรือหน้าฝน และในช่วงนั้นได้ไปทำอะไรที่ผิดปกติไปจากเดิมหรือเปล่า เช่น เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิว เปลี่ยนแชมพู เป็นต้น เมื่อเราสังเกตตัวเองจนทราบแล้วว่า ช่วงไหนที่สิวถามหาเรา ก็ให้เฝ้าระวังเป็นพิเศษ หรือบางคนเจอสิวบุกหนักเพราะเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมที่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอล์ และผลิตภัณฑ์ที่เป็นออยเบส ก็ให้หลีกเลี่ยง
- รักษาก่อนบำรุง ในระหว่างการรักษาสิวคุณต้องมีสติในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้มากถึงมากที่สุด อย่าเพิ่งคิดบำรุงผิวในช่วงนี้ แต่ให้หันมารักษาสิวให้หายก่อน โดยระหว่างการรักษาคุณควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ประเภทออยเบส โคโค่บัตเตอร์ เปปเปอร์มินต์ออย เพราะตอนที่เราเป็นสิว ผิวของเราจะเกิดการระคายเคืองได้ง่าย ยิ่งพวกครีมเนื้อหนัก ๆ ก็ให้เลี่ยงเลย ถ้าไม่อยากให้มันอุดตันรูขุมขนมากขึ้น แต่สำหรับคนผิวแห้ง คุณอาจต้องการการบำรุงบ้าง โดยให้เลือกใช้เจลว่านหางจระเข้มาเป็นมอยเจอไรเซอร์ไปก่อน
- ลดความมันบนใบหน้า หากรู้ตัวว่าหน้ามันจนทอดไข่ได้ คุณควรจะล้างหน้าเพื่อเอาความมันออกซะบ้าง แต่อย่าล้างหน้าบ่อย ๆ ล่ะ เพราะจะยิ่งไปกระตุ้นการเกิดสิวได้ แต่ถ้าคุณหน้ามันมากจนเกินเยียวยาได้ด้วยตัวเอง ก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขที่ต้นเหตุ โดยแพทย์อาจจะต้องใช้ยาเพื่อควบคุมฮอร์โมนแอนโดรเจนเอาไว้ (ส่วนนี้ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น)
- หยุดเซาน่าและสตรีม ในระหว่างการรักษาสิว คุณควรหยุดการเซาน่าและสตรีมไปก่อนอย่างไม่มีข้อยกเว้น เพราะมันจะทำให้ผิวทั้งร้อนและชื้น สิวที่มีก็จะเห่อขึ้น รูขุมขนกว้างขึ้น บริเวณที่มีแนวโน้มจะเป็นสิวก็อาจเกิดสิวขึ้นมาได้อย่างคาดไม่ถึง แต่ให้หันมาออกกำลังกายแทนจะดีกว่า
- ล้างหน้าให้ถูกวิธีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง เราควรจะล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผิวเพียงวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น แต่ถ้าหากหน้ามันมากจริง ๆ ก็อาจล้างได้ไม่เกินวันละ 3 ครั้ง เวลาล้างต้องล้างให้สะอาดหมดจดจนแน่ใจว่าไม่เหลือสิ่งสกปรกอยู่บนใบหน้า ถ้ามีเหงื่อออกหรือหน้ามันระหว่างวันคุณควรจะล้างหน้าด้วย “น้ำเปล่า” แล้วซับให้แห้ง (แต่อย่าล้างบ่อย เพราะจะยิ่งทำให้หน้ามันมากขึ้น) และก่อนจะลงผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามคุณควรซับหน้าให้แห้งก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดสิว (เรื่องที่เกี่ยวข้อง : การทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี, ขั้นตอนการล้างหน้าที่ถูกวิธีอย่างละเอียด)
- ดื่มน้ำเพื่อล้างพิษ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยทำให้เซลล์ต่าง ๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และน้ำยังเป็นตัวช่วยในการนำสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายให้ถูกขับออกมาด้วย ดังนั้นจงจำไว้เลยว่า เราควรดื่มน้ำไม่ต่ำกว่าวันละ 8 แก้ว และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการล้างพิษ คุณควรรับประทานผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีและวิตามินอีด้วย เพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิวให้แข็งแรง สำหรับคนที่โดนสิวบุกมาก ๆ คุณอาจผสมน้ำมะนาวลงไปในน้ำแก้วแรกของวันก็ได้ ซึ่งวิธีนี้พบว่าใช้ได้ผลในหลายคน ในการช่วยล้างพิษได้อย่างหมดจด
- กำจัดความเครียด คุณควรอารมณ์ดีเข้าไว้ พยายามทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ เพราะเมื่อเราเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนตัวที่สามารถไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น และต่อให้ป้องกันการเกิดสิวได้ดียังไง แต่ยังเครียดอยู่ก็คงหนีไม่พ้นที่จะมีสิวผุดขึ้นมาอย่างแน่นอน โดยมีงานวิจัยที่ได้สรุปว่า “เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้นจะทำให้การอักเสบของสิวเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้น โดยคิดเฉลี่ยเป็นเปอร์เซ็นต์มากถึง 93.5%” และเชื่อไหมว่าบางคนยังไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่ากำลังเครียดอยู่ แต่คุณสามารถสังเกตความเครียดได้จากพฤติกรรมดังต่อไปนี้ครับ คือถ้ามีมากข้อเท่าไรก็ยิ่งเครียดมากเท่านั้น เช่น นอนไม่หลับทั้ง ๆ ที่เลยเวลานอนแล้ว, ไม่อยากเจอหน้าผู้คนหรือต้องการหลบปัญหา, ระเบิดอารมณ์กับทุก ๆ เรื่องได้ง่าย แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม, ดื่มเหล้ามากขึ้น, ไม่อยากรับประทานอาหาร, ชอบกัดเล็บตัวเองโดยไม่รู้ตัว, ดึงผมตัวเองอยู่บ่อย ๆ เป็นต้น ซึ่งถ้าคุณมีมากกว่า 4 อย่างขึ้นไป นั่นหมายความว่าเรากำลังเครียดในระดับสูง ก็ให้รีบหาทางจัดการมันซะ เพราะยิ่งเครียดสิวก็ยิ่งเยอะ
-
- นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับนับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เพราะตอนเราหลับร่างกายจะหลั่งสารโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมา ซึ่งฮอร์โมนนี้จะช่วยซ่อมแซมร่างกายของเราได้ในขณะหลับ ช่วยทำให้ผิวหนังส่วนที่สึกหรอรวมถึงแผลที่เป็นอยู่ให้หายไวขึ้น ส่งผลกับผิวหน้าและผิวกายของเราโดยตรง คือ รูขุมขนจะมีการซ่อมแซมตัวเอง ทำให้สิ่งสกปรกจากภายนอกเข้ามาในรูขุมขนได้ยากขึ้น และการนอนดึกยังเกี่ยวข้องกับความเครียดอีกด้วย เมื่อร่างกายเกิดความเครียดก็จะทำให้ผิวอ่อนแอลง ส่งผลให้แบคทีเรียตัวร้ายเข้ามาจู่โจม ทำให้เราเกิดสิวอักเสบได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
- หลีกเลี่ยงแสงแดด ปกป้องผิวตัวเองจากแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดเป็นประจำ ใส่แว่นกันแดดเพื่อถนอมตา สวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดผิว และหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีความร้อนและความชื้นสูง เพราะนอกจากจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวแล้ว มันยังเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยและสีผิวที่ดำคล้ำได้อีกด้วย
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาพผิว ผลิตภัณฑ์ความงามในปัจจุบันนั้นมีมากมาย จนเราเองก็ปวดหัวในการเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ ก็มีสรรพคุณแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเวลาเราเลือกใช้ นอกจากจะเลือกให้มาช่วยแก้ไขและบำรุงผิวหน้าแล้ว เราต้องเชื่อมั่นด้วยว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะไม่เอาสิวมาฝากเราด้วย เคล็ดลับก็ง่าย ๆ คือผลิตภัณฑ์ที่เราจะใช้ต้องมีคุณสมบัติไม่ทำให้เกิดการอุดตัน ช่วยกำจัดแบคทีเรีย และมี อย. รับรอง ถ้าอ่านป้ายแล้วเจอข้อความ non comedogenic ก็เป็นอันใช้ได้ (เรื่องที่เกี่ยวข้อง : วิธีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดของผิวแต่ละสภาพ, ข้อควรระวังในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของผิวแต่ละสภาพ, การดูแลและบำรุงผิวหน้าของผิวแต่ละสภาพ)
- หลีกเลี่ยงการใช้กระดาษซับมัน คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้กระดาษซับมัน แล้วหันมาใช้กระดาษทิชชูสำหรับใบหน้าในการซับน้ำมันส่วนเกินแทน เพราะการใช้กระดาษซับมัน จะทำให้น้ำมันถูกซับออกไปจนหมด ส่งผลทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะมันคิดว่าผิวเราแห้งจนเกินไป คราวนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่เลยล่ะ แต่ถ้าการใช้ทิชชูในการซับหน้ายังไม่สามารถสร้างความรู้สึกสบายให้ใบหน้าได้ ก็แนะนำให้เลือกฉีดสเปรย์น้ำแร่แล้วใช้ทิชชูซับออกเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับผิวหน้าก็ได้
- ยาคุมกำเนิด นับเป็นโชคดีของสาว ๆ ที่เราสามารถควบคุมสิวที่เกิดจากฮอร์โมนแอนโดรเจนได้ด้วยการทานยาคุมกำเนิด เนื่องจากยาคุมกำเนิดนั้นมีฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrigen) ที่จะเข้าไปกดการทำงานของฮอร์โมนแอนโดรเจน แต่เห็นมันมีข้อดีอย่างนี้แล้วก็อย่าเพิ่งดีใจไปล่ะ เพราะมันก็มีผลเสียอยู่บ้างที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และมีผลในด้านลบต่อคนที่เป็นโรคหัวใจ รวมไปถึงอาจทำให้เกิดปัญหาเส้นเลือดอุดตันได้
- มะเขือเทศ จัดว่าเป็นยาวิเศษจากธรรมชาติที่สามารถพิฆาตสิวได้เป็นอย่างดี เพราะมะเขือเทศมีทั้งวิตามินเอที่ช่วยเสริมสร้างผิวให้มีสุขภาพดี มีวิตามินซีที่ช่วยในเรื่องของความขาวใสและสมานรอยแผล อีกทั้งยังมีคุณสมบัติทำให้ผิวเย็นลง ช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกิน ต้านอนุมูลอิสระ และทำให้รูขุมขุมกระชับได้อีกด้วย ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ เราจึงใช้ประโยชน์จากมะเขือเทศในการป้องกันการเกิดสิวได้อย่างยอดเยี่ยม วิธีการก็ไม่ยากเพียงแค่คุณคั้นเอาน้ำมะเขือเทศมาทาลงบนใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า ก็จะช่วยป้องกันการเกิดการสิวได้แล้วล่ะ (วิธีนี้เราจะใช้ก็ต่อเมื่อเรารู้สึกว่าสิวอุดตันมันเริ่มจะเป็นไตแข็ง ๆ และเจ็บ ที่เป็นสัญญาณของสิวอักเสบ ซึ่งการทาน้ำมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการอักเสบได้ ส่วนสิวอุดตันที่เป็นไตแข็งก็จะค่อย ๆ ยุบตัวลงไปเอง)
-
- ผิวส้ม ให้นำผิวส้มมาปั่นกับน้ำสะอาดจนได้เป็นเนื้อครีมข้น แล้วนำเนื้อครีมที่ได้มาทาบาง ๆ บนสิวและรอบ ๆ สิว ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก เพียงเท่านี้สิวของคุณก็จะค่อย ๆ ยุบลงแล้วล่ะ
- กระเทียม ให้นำกระเทียมสดมาฝานเป็นแว่นบาง ๆ แล้วใช้กระเทียมค่อย ๆ ลูบไล้บริเวณที่เป็นสิว วิธีนี้จะช่วยลดรอยแดงของสิวและทำให้สิวยุบตัวได้เร็วยิ่งขึ้น
- มะละกอ ให้คุณนำมะละกอดิบมาปั่นทั้งเมล็ด จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำนำมาแต้มบาง ๆ บริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก จะช่วยลดการอักเสบของสิวได้ แต่วิธีนี้จะไม่เหมาะกับคนผิวบอบบางและผิวแพ้ง่าย
- น้ำคั้นใบสะระแหน่ ให้คั้นน้ำจากใบสะระแหน่สด นำมาทาบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้าเป็นประจำทุกวัน ทิ้งไว้สักพักแล้วค่อยล้างออกให้สะอาด วิธีนี้นอกจากจะช่วยรักษาสิวได้แล้ว ยังช่วยป้องกันการเกิดเม็ดผื่นคันและโรคผิวหนังอย่างโรคหิดและกลากเกลื้อนได้อีกด้วย
- น้ำมันถั่วลิสงผสมน้ำมะนาว ให้คุณใช้น้ำมันถั่วลิสง 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับน้ำมะนาวคั้นสด 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทาบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออกให้สะอาด วิธีนี้จะช่วยป้องกันการเกิดสิวอักเสบและสิวหัวดำได้เป็นอย่างดี
- น้ำมะนาวผสมอบเชย ให้ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา นำมาผสมกับผงอบเชย 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาดและซับให้แห้ง จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาแต้มบาง ๆ บริเวณที่เป็นสิวประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด จะช่วยทำให้สิวค่อย ๆ ยุบตัวลง แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนผิวบอบบางและผิวแพ้ง่าย
- น้ำมะนาวผสมนมสด ให้คุณนำน้ำมะนาวสดมาผสมกับนมสดอุ่น ๆ ใช้ล้างผิวหน้าทิ้งไว้สักพัก แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด วิธีนี้จะช่วยลดการเกิดสิวอักเสบ สิวหัวดำ และช่วยบำรุงผิวหน้าให้เนียนนุ่มไม่แห้งแตก
- น้ำมะนาวผสมน้ำคั้นจากดอกกุหลาบ ให้คุณผสมน้ำมะนาวเข้ากับน้ำคั้นจากดอกกุหลาบในปริมาณเท่ากัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น วิธีนี้จะช่วยทำให้สิวยุบลงได้ และยังช่วยทำให้หน้าขาวดูสดใสได้อีกด้วย
- น้ำผึ้งผสมไข่ขาวและน้ำมะนาว ให้คุณใช้น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับไข่ขาว 1 ฟอง แล้วเติมน้ำมะนาวลงไปอีก 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาทาให้ทั่วใบหน้ายกเว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปากทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก และล้างปิดท้ายด้วยน้ำเย็น เสร็จแล้วให้ทาครีมบำรุงผิว
- สิวอุดตัน สิวที่ชอบเก็บตัวอยู่กับรูขุมขนบนใบหน้า ยิ่งนานวันก็ยิ่งฝังตัวแน่น ดูวิธีการป้องกัน