ความแตกต่างระหว่างไวรัสและแบคทีเรีย
ไวรัส เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างหลากหลายและมีขนาดเล็กมาก ซึ่ง 1 ในไวรัสที่ใหญ่ที่สุดมีความยาวเพียง 450 นาโนเมตรเท่านั้น หรือเทียบเท่ากับแบคทีเรียขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ไวรัสมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลักที่เคลือบอยู่ชั้นผิวภายนอกและเป็นศูนย์กลางของสารพันธุกรรมอย่างดีเอ็นเอ (DNA) หรืออาร์เอ็นเอ (RNA) ของไวรัส โดยไวรัสจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอย่างคน สัตว์ หรือพืช เพื่อเพิ่มจำนวนขึ้น
แบคทีเรีย เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่ค่อนข้างซับซ้อน มีผนังแข็งด้านนอกสุดและถัดเข้ามาเป็นเยื่อหุ้มบาง ๆ ล้อมรอบของเหลวภายในเซลล์ไว้ สามารถเพิ่มจำนวนได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต และอยู่รอดได้ในบรรยากาศที่แตกต่างกันไป เช่น สถานที่ที่ร้อนหรือเย็นจัด หรือในร่างกายของมนุษย์ เป็นต้น แม้แบคทีเรียส่วนใหญ่จะมีประโยชน์และไม่เป็นอันตราย โดยมีส่วนช่วยในระบบย่อยอาหาร ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค ช่วยต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง และให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่แบคทีเรียบางส่วนหรือไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของแบคทีเรียทั้งหมดก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคและการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้
การติดเชื้อไวรัส
ไวรัสจะรุกรานเข้าสู่เซลล์ของสิ่งมีชีวิตเพื่อขยายจำนวน ทำให้เซลล์ปกติกลายเป็นเซลล์ที่มีเชื้อไวรัส สร้างความเสียหายและส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ แต่เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย อาจไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยเสมอไป เพราะระบบภูมิคุ้มกันจะเป็นด่านแรกที่ช่วยกำจัดและทำลายเชื้อไวรัส ซึ่งไวรัสแต่ละชนิดจะทำให้เกิดโรคต่างกันออกไป เช่น
- ไรโนไวรัส (Rhinoviruses) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยของโรคหวัด
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) ชนิดเอ บี หรือซี เป็นสาเหตุของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่าง ๆ
- เดงกี่ไวรัส (Dengue Virus) เป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออก
- ไวรัสอาร์เอสวี (Respiratory Syncytial Virus: RSV) เป็นสาเหตุของโรคในระบบทางเดินหายใจ
- เอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) เป็นสาเหตุของโรคมือเท้าปาก โรคแผลเปื่อยในลำคอเฮอร์แปงไจนา โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส
- เรบีส์ไวรัส (Rabies Virus) เป็นสาเหตุของโรคพิษสุนัขบ้า
- ไวรัสเอชพีวี (Human Papillomavirus: HPV) เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกและโรคหูด
- วาริเซลลา ซอสเตอร์ ไวรัส (Varicella Zoster Virus) เป็นสาเหตุของโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด
- ไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis Virus) ชนิดเอ บี หรือซี เป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่ตับและทำให้ตับอักเสบ
- ไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus: HIV) เป็นสาเหตุของโรคเอดส์
การติดเชื้อแบคทีเรีย
แบคทีเรียจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วและทำให้เกิดพิษซึ่งทำลายเนื้อเยื่อภายในร่างกายได้ แม้แบคทีเรียส่วนใหญ่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ แต่แบคทีเรียบางส่วนก็อาจทำให้มีอาการเจ็บป่วยและเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคได้ เช่น
- สเตร็ปโทโคคัส นิวโมเนีย (Streptococcus Pneumoniae) เป็นสาเหตุของโรคปอดบวม
- บอร์เดเทลลา เพอร์ทัสซิส (Bordetella Pertussis) เป็นสาเหตุของโรคไอกรน
- คลอสตริเดียม เตตานิ (Clostridium Tetani) เป็นสาเหตุของโรคบาดทะยัก
- เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นสาเหตุของแผลในกระเพาะอาหาร
- วิบริโอคอเลอเร (Vibrio Cholerae) เป็นสาเหตุของอหิวาตกโรค
- ไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium Tuberculosis) เป็นสาเหตุของวัณโรค
- เอสเชอริเชีย โคไล (Escherichia Coli) เป็นสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ทริปโปนีมา พัลลิดุม (Treponema Pallidum) เป็นสาเหตุของโรคซิฟิลิส
- ไนซีเรีย โกโนเรีย (Neisseria Gonorrhoeae) เป็นสาเหตุของโรคหนองในแท้
- ไนซีเรีย เมนิงไจทิดิส (Neisseria Meningitidis) เป็นสาเหตุของโรคไข้กาฬหลังแอ่น
การวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
โรคบางชนิดอย่างโรคปอดบวม โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือโรคท้องร่วง อาจเกิดได้จากทั้งเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย โดยแพทย์จะตรวจร่างกายและประวัติทางการแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของอาการเจ็บป่วย แต่ผู้ป่วยบางรายอาจต้องรับการวินิจฉัยด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ หรือการตัดชิ้นเนื้อตรวจ เป็นต้น เพื่อยืนยันสาเหตุที่ชัดเจนของการเกิดโรค และให้ผู้ป่วยได้เข้ารับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
วิธีรักษาการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการใช้ยาปฏิชีวนะสามารถรักษาได้ทั้งการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย แต่จริง ๆ แล้ว การติดเชื้อไวรัสส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการในระหว่างที่ระบบภูมิคุ้มกันกำลังกำจัดเชื้อโรค หรืออาจใช้ยาต้านเชื้อไวรัส เช่น ยาเอฟฟาไวเรนซ์ ยาเนวิราปีน ยาอะบาคาเวียร์ ยาอะทาซานาเวียร์ หรือยาอินดินาเวียร์ เป็นต้น เพื่อช่วยชะลอความรุนแรงของโรคเอดส์ อีกทั้งยังสามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสอย่างไข้หวัดใหญ่ ไวรัสตับ
อักเสบ หรือโรคพิษสุนัขบ้าได้ด้วย
ไข้หวัดจากเชื้อไวรัส
ไข้หวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัส มักมีอาการ
- มีน้ำมูก
- ไอ
- มีอาการระคายคอ หรือเจ็บคอ
- อาจมีเสียงแหบร่วมด้วย
การรักษาโรคไข้หวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัส
เนื่องจากโรคไข้หวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัสนั้นสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องทานยาปฏิชีวนะ อาจใช้เวลา 5-7 วัน เพียงแค่ดูแลตนเองและปฏิบัติดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ทำร่างกายให้อบอุ่น
- ดื่มน้ำมาก ๆ
- กลั้วคอด้วยน้ำเกลือเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียตามมา
ไข้หวัดจากเชื้อแบคทีเรีย
ส่วนไข้หวัดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มักมีอาการ 3 ใน 4 ข้อของอาการดังต่อไปนี้
- ต่อมทอนซิลบวม หรือมีจุดหนอง
- ต่อมน้ำเหลืองใต้ขากรรไกรหน้าบวมโต กดเจ็บ
- มีไข้ (มากกว่า 38 องศาเซลเซียส)
- ไม่มีอาการไอ
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
https://www.pobpad.com/
และ http://www.sukumvithospital.com/