ย์สโตน (keystone) คือชื่อเรียกหินในตำแหน่งกึ่งกลางของโครงสร้างช่องลักษณะโค้งที่เรียกว่า อาร์ช (arch) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในอาณาจักรโรมันโบราณ
ตัวหินคีย์สโตนนี้แม้ว่าจะไม่ได้รับน้ำหนักมากเท่าใด แต่ถ้าหากว่าเราดึงมันออกล่ะก็โครงสร้างทั้งหมดก็จะพังทลายลงเนื่องจากไม่มีคีย์สโตนที่ช่วยกระจายแรงอัดในแนวดิ่งลงสู่ฐานอาร์ชทั้งสองข้าง
ในเชิงเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรของมันแล้ว ชนิดพันธุ์ที่มีอิทธิพลมากต่อระบบนิเวศแบบบนลงล่าง (top-down effect) จนอาจสร้างความแปรผันอย่างรุนแรงกับระบบนิเวศถึงขั้นล่มสลายเมื่อตัวมันเองสูญพันธุ์ไปจึงได้ชื่อว่า ชนิดพันธุ์คีย์สโตน หรือ keystone species
ซึ่งชนิดพันธุ์คีย์สโตนนั้น อาจไม่ใช่ผู้ล่าอันดับบนสุดของห่วงโซ่อาหาร (apex predator) เสมอไป แต่มักมีความคาบเกี่ยวกันกับแนวคิดของ ชนิดพันธุ์เรือธง (flagship species, คือชนิดพันธุ์ที่เลือกมาแล้วว่าโดดเด่น เพื่อกระตุ้นความสนใจเชิงอนุรักษ์ของมวลชน) และ ชนิดพันธุ์ให้ร่มเงา (umbrella species)
ชนิดพันธุ์ให้ร่มเงาที่เป็นตัวแทนป่าดิบชื้นที่ราบต่ำภาคใต้อย่าง นกแต้วแล้วท้องดำ (Gurney’s pitta, Hydrornisgurneyi) ใช่ว่าจะเป็นเพียงนกสีสันสวยงามราวอัญมณีประดับป่าเท่านั้น แต่ความสำเร็จในการอนุรักษ์มันไว้ได้ยังหมายถึงการดำรงอยู่ของชนิดพันธุ์อื่นๆ ที่อาศัยอยู่ภายใต้ร่มเงาของพื้นที่เดียวกันอีกด้วย
จึงเป็นที่น่าเสียดายว่า การจากไปของนกแต้วแล้วท้องดำตามธรรมชาติของประเทศไทยนั้น ยังได้พาเอานกน้อยใหญ่และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กหลายชนิดที่ยังขาดการสำรวจบันทึกอยู่ไปกับมันด้วย ทิ้งไว้เพียงแต่ทะเลทรายสีเขียวของต้นยางและปาล์มน้ำมันที่หมดความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) เอาไว้เบื้องหลัง
มรดกโลกทางธรรมชาติอย่างอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ยังเคยเป็นที่อาศัยของอีกหนึ่งชนิดพันธุ์ที่เป็นทั้งคีย์สโตนและผู้ล่าสูงสุด นั่นก็คือ เสือโคร่งอินโดจีน (Indochinese tiger, Panthera tigris tigris) ในปัจจุบัน แม้จะมีความพยายามในการสร้างแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศ (wildlife corridor) ระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และอุทยานแห่งชาติทับลานที่ยังมีการสำรวจพบประชากรเสือโคร่งอินโดจีนอยู่
ขอบคุณแห่งข้อมูล https://bottomlineis.co