การขึ้นต้นคำถามด้วย “Whom”
Whom = ใคร (ใช้เป็นกรรม)
ใช้ขึ้นต้นคำถามที่ต้องการถามใช้ถามเกี่ยวกับบุคคล และบุคคลที่พูดถึงจะต้องทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น
- Whom are we waiting for? (พวกเรากำลังรอใครอยู่เหรอ?)
- Whom are you going to invite? (คุณกำลังจะไปเยี่ยมใคร?)
- Whom do you want to see? (ใครที่คุณอยากจะเจอ?)
การใช้ who, whom ในการตั้งคำถาม
Who กับ Whom มีหลายคนงงว่าใช้ยังไง ในกรณีนี้จะพูดถึงเฉพาะการนำมาตั้งคำถามนะคะ Who กับ Whom แปลว่า “ใคร” โดย
Who ———– ตั้งคำถามที่เป็นประธาน
Whom ——— ตั้งคำถามที่เป็นกรรม
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจคำว่าประธาน กับ กรรม กันก่อน ประธานคือผู้แสดงการกระทำ ส่วน กรรม คือผู้ถูกกระทำ ลองเปรียบเทียบจากสองประโยคนี้ค่ะ
“ใครให้เงินคุณ?” “คุณให้เงินกับใคร?”
ประโยคแรก “ใครให้เงินคุณ?” ใครเป็นประธาน เพราะทำกริยา ให้ ฉะนั้นประโยคนี้เวลาจะถามต้องใช้ who คือ
- Who gave money to you?
ประโยคที่สอง “คุณให้เงินกับใคร ?” ใครเป็นกรรม เพราะถูกให้เงิน (รับการกระทำ) เวลาถามประโยคนี้ต้องใช้ whom คือ
- Whom did you give money?
โครงสร้างในการตั้งคำถามที่ใช้ who มักจะเป็น
Who + คำกริยา + (กรรม) + ………….?
เพราะเมื่อ who ใช้ตั้งคำถามที่เป็นประธาน ก็สามารถตามด้วยกริยาได้เลย โดยเรียงลำดับคำเหมือนประโยคบอกเล่า เช่น
- Who loves you?
- Who is sitting next to Josh?
- Who ate my cake in the fridge?
แต่ Whom จะมีโครงสร้างดังนี้
Whom + กริยาช่วย + ประธาน + กริยา + …..?
แต่เมื่อใช้ Whom ในการสร้างประโยคคำถาม จะเรียงโครงสร้างเหมือนประโยคคำถามทั่วไปคือ กริยาช่วยมาก่อนประธาน เช่น
- Whom were you talking to when I arrived here?
- Whom did you see last night?
- Whom will you go with?
การใช้ Whose ในการตั้งคำถาม
การใช้ Whose ในการตั้งคำถาม
“Whose” คำนี้อ่านออกเสียงว่า “ฮูส” แปลว่า “ของใคร” การตั้งคำถามโดยใช้ whose มีโครงสร้างดังนี้ค่ะ
โครงสร้างที่ 1 : Whose + คำนาม (s/es) + is/are +………..?
** คำนามหลัง whose คือคำนามที่เราต้องการถามหาเจ้าของ ถ้าคำนามเป็นพหูพจน์ก็ให้เติม s/es มาดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- Whose mobile phone is that? นั่นโทรศัพท์มือถือใคร
- Whose shoes are those? นั่นรองเท้าใคร
หลัง is หรือ are เราอาจจะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ก็ได้ เช่น
- Whose car is in the garage? รถใครอยู่ในโรงรถ
- Whose dress is red? ชุดใครสีแดง
เวลาตอบก็ใช้คำแสดงความเป็นเจ้าของ ได้ทั้งที่เป็น possessive adjective และ possessive pronoun เช่น
A: Whose jacket is this?
B: It’s David’s. / It’s mine. / It’s my jacket.
A: Whose bicycle did you ride yesterday? เมื่อวานคุณขี่จักรยานของใคร
B: I rode My dad’s bicycle. ฉันขี่จักรยานของพ่อ
A: Whose cell phone does Bill use? บิลใช้โทรศัพท์มือถือของใคร
B: He uses my cell phone. เขาใช้โทรศัพท์ของฉัน
โครงสร้างที่ 3 : Whose + is / are + this/that/these/those + คำนาม (s/es)
เช่น
A: Whose is this cat? แมวตัวนี้ของใคร
B: It’s Kate’s cat. แมวตัวนี้ของเคท
** จะเห็นได้ว่า Whose ใช้ได้ทั้งแบบที่เป็น adjective คือมีนามตามหลังมาติดๆ เช่น
- Whose pen is this?
หรือ ใช้แบบ pronoun คือไม่มีนามตามหลัง เช่น
- Whose is this pen?
การใช้ what ในการตั้งคำถาม
การตั้งคำถามในภาษาอังกฤษมี 2 ประเภทคือ คำถามแบบ yes/no question และ คำถามแบบ wh-question ซึ่งต้องการคำตอบที่บอกรายละเอียด และคำแสดงคำถามแบบ wh-question ที่นึกถึงเป็นคำแรกๆเลยคือคำว่า what ซึ่งใครๆก็รู้ว่า แปลว่า “อะไร” แต่พอจะเอามาใช้ตั้งคำถามนี่สิ!! มันก็เริ่มต้นไม่ค่อยจะถูก เรามาดูโครงสร้างการตั้งคำถามโดยใช้ what กันค่ะ
1. What +v. to be +คำนาม?
ส่วนใหญ่เรามักจะใช้โครงสร้างนี้ในการถามชื่อ ถามที่อยู่ ถามอาชีพ ถามสัญชาติ หรืออื่นๆ เช่น
- What is your name? คุณชื่ออะไร
- What are their names? พวกเขาชื่ออะไรกันบ้าง
- What is your nationality? สัญชาติของคุณคืออะไร
- What is your father? พ่อของคุณเป็นอะไร (ทำอาชีพอะไร)
- What is the biggest animal in the world? สัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกคืออะไร
2. What + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้….?
กริยาช่วยและกริยาแท้ในที่นี้จะเปลี่ยนไปตาม tense เช่น
- What are you talking about? คุณกำลังพูดเรื่องอะไร
- What does she like to eat? หล่อนชอบกินอะไร
- What does your father do? พ่อของคุณทำอาชีพอะไร
- What will you do in next 5 years? คุณจะทำอะไรในอีก 5 ปีข้างหน้า
3. เราสามารถใส่ คำนาม ตามหลัง what ได้ คือ what + noun ในกรณีที่เราต้องการถามว่า (นาม)อะไรที่….? เช่น
- What color do you like? สีอะไรที่คุณชอบ
- What color is your car? รถของคุณสีอะไร
- What kind of job do you want? งานแบบไหนที่คุณต้องการ
- What size is this shirt? เสื้อเชิ้ตตัวนี้ไซส์อะไร
- What day is today? วันนี้วันอะไร
** ในกรณีนี้อาจจะใช้ which แทน what ก็ได้ Which สามารถตามด้วย สิ่งของหรือคนก็ได้ คือ Which + สิ่งของ/คน เช่น
- Which doctor did you see, Dr. Ellis or Dr. Smith?
เธอไปหาหมอคนไหนมา ดร. เอลลิส หรือ ดร. สมิธ - Which way shall we go?
เราจะไปทางไหนกันดี
สรุป การตั้งคำถามด้วย who, who(m)และ what -ภาษาอังกฤษ
W – Who – ใคร
ขั้นแรกคือต้อง วิเคราะห์และระบุของกลุ่มเป้าหมายให้ได้อย่างชัดเจน เช่น เพศ, อายุ, อาชีพ, ฐานเงินเดือน, พื้นที่, พฤติกรรม ฯลฯ เพราะข้อมูลเหล่านี้ จะทำให้สามารถออกแบบและพิมพ์กล่องสบู่ ได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมายที่ทำการวิเคราะห์ไว้ เช่น หากคุณต้องการขายสบู่ที่ทำจากธรรมชาติ 100% คุณต้องรู้ว่ากลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้ของจากธรรมชาตินั้นอยู่ในช่วงวัยไหน และมีต้องมีฐานะทางการเงินในระดับหนึ่ง เพราะเนื่องจากผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินั้นค่อนข้างที่จะมีราคาแพง
W – What – อะไร
สบู่ หรือกล่องสบู่ แบบไหนที่ทำให้ลูกค้าสนใจ และอะไรที่จะสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งที่ขายสินค้าประเภทเดียวกัน ซึ่งอันที่จริงตลาดสบู่นั้นมีการแข่งขันที่สูงมาก ดังนั้นคุณอาจจะต้องเจาะจงให้ชัดเจนไปเลยว่า สบู่ของคุณมีดีอะไร? เช่น ถ้าเป็นสบู่ที่ผลิตจากธรรมชาติ100% ก็บอกให้ละเอียดไปเลยว่า ส่วนประกอบของสบู่นี้มีอะไรบ้าง สรรพคุณเป็นอย่างไร และอาจจะต้องมีกิมมิคเล็กๆน้อยๆอย่าง ซื้อหนึ่งก้อน จะได้ช่วยบริจาคให้แก่ผู้ยากไร้อีก 1 ก้อน นอกจากจะได้สุขภาพแล้วยังได้ช่วยเพื่อนร่วมโลกอีกด้วย เป็นต้น
W – Where – ที่ไหน
เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง “ทำเล” ในการขายของ ไม่ว่าจะเป็นบนตลาดจริงๆ หรือตลาดออนไลน์ ไม่ว่าที่ไหนๆก็ต้องมีกลุ่มลูกค้าอยู่อย่างแน่นอน แต่ในปัจจุบันธุรกิจออนไลน์เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ การหาลูกค้าบนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค อาจจะมีโอกาสในการขายสินค้าของคุณมากกว่าก็เป็นได้ เพราะการขายของออนไลน์ ลูกค้าสามารถเห็นสินค้าตัวอย่างจากหน้าเว็ปไซต์ได้ เช่น ถ้าหากผู้ประกอบการต้องการจะพิมพ์กล่องสบู่ ให้สอดคล้องกับตัวสบู่ธรรมชาติ ก็สามารถดูตัวอย่างสินค้า ตัวอย่างการออกแบบ ชนิดของกระดาษ ได้อย่างสะดวกและเป็นไปอย่างง่ายดาย นอกจากทำเลแล้ว การสื่อสารกับลูกค้าก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น
W – When – เมื่อไร
ช่วงเวลาการต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภคแต่ละคนมีความแตกต่างกัน คุณต้องวิเคราะห์ว่า เมื่อไหร่ที่ผู้บริโภคต้องการจะซื้อสินค้าของคุณ ช่วงเวลาของแต่ละวันเกี่ยวไหม? อุณหภูมิเกี่ยวไหม? ฤดูกาลล่ะ? และผู้บริโภคซื้อสินค้าของคุณบ่อยแค่ไหน? สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณต้องวิเคราะห์ เพื่อตอบสนองให้ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อ โดยอาจจะอ้างอิงจากกลุ่มผู้ซื้อกลุ่มหลักที่คุณได้วิเคราะห์ไปแล้วในข้อแรก คือ W – Who – ใคร
W – Why – ทำไม
ในข้อนี้ต้องมาวิเคราะห์กันว่า ทำไมลูกค้าถึงต้องซื้อสินค้าของคุณ ซึ่งทั้งนี้ก็ต้องวิเคราะห์จาก จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส อุปสรรค์ เช่น หากสบู่ของคุณมีโปรโมชั่น กล่องสบู่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ หรือสามารถเลือกส่วนผสมโปรดของแต่ละคนได้ ซึ่งต่างจากคู่แข่ง ก็อาจจะทำให้ตอบคำถามตรงนี้ได้ว่าทำไมลูกค้าถึงต้องเลือกซื้อสินค้าของคุณ
H – How – ได้อย่างไร?
หลักการสุดท้ายคือการวางแผนที่จะเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณด้วยวิธีการไหน? และจะมีประสิทธิภาพอย่างไร เช่น การสร้างเพจในเฟสบุ๊ค เพื่อโปรโมทสินค้า โปรโมทกิจกรรมของคุณ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ และที่สำคัญคือกระตุ้นให้เกิดการแชร์ เมื่อการส่งต่อในรูปแบบปากต่อปากแล้ว จะเกิดเป็นสังคมเล็กๆที่รวมคนที่มีความต้องการเดียวกัน แลกเปลี่ยนความต้องการ ความคิดเห็นกัน เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูล https://www.pasaangkit.com/ และ https://www.proprintshops.com/