การเคลื่อนที่ของนก
นกเป็นสัตว์ปีก เคลื่อนที่โดยการเดินด้วยขาและการบินไปในอากาศด้วยการขยับปีก การบินของนกเกิดจากการทำงานร่วมกันของอวัยวะต่าง ๆ และความเหมาะสมของโครงสร้างร่างกาย ดังนี้
1. กล้ามเนื้อที่ควบคุมการขยับปีก ที่ยึดอยู่ระหว่างกระดูกโคนปีก (humerus) กับกระดูกอก (sternum) ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อยกปีกและกล้ามเนื้อกดปีกทำงานแบบสภาวะตรงกันข้าม กล่าวคือ เมื่อกล้ามเนื้อยกปีกหดตัว กล้ามเนื้อกดปีกคลายตัวปีกของนกจะยกตัวสูงขึ้น แต่เมื่อกล้ามเนื้อยกปีกคลายตัว กล้ามเนื้อกดปีกหดตัวปีกของนกจะถูกดึงลงหรือปีกถูกกดตัวลง เมื่อมีการขยับปีกขึ้นลงอย่างต่อเนื่องจึงทำให้นกสามารถบินได้
2. ปีกนก เป็นอวัยวะที่โครงสร้างภายในมีลักษณะคล้ายคลึงกับแขนคน ปีกนกช่วยให้นกสามารถบินได้ เนื่องจากโครงสร้างของปีกด้านบนมีความยาวมากกว่าด้านล่างเช่นเดียวกับปีกเครื่องบิน เมื่อนกลอยตัวอยู่ในอากาศ อากาศที่ไหลผ่านด้านบนของปีกนกจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกว่าอากาศที่ไหลผ่านด้านล่างของปีก ทำให้ความดันอากาศใต้ปีกสูงกว่าความดันอากาศด้านบน ดังนั้นความดันอากาศด้านล่างของปีกนกจึงช่วยพยุงปีกและลำตัวของนกให้ลอยอยู่ในอากาศได้
3. ขนนก ขนที่ปกคลุมผิวลำตัวนก เป็นขนแบบก้านหรือขนแบบแผง (feather) มีลักษณะเบาบางช่วยอุ้มอากาศขณะบินได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ขนนกยังป้องกันไม่ให้อากาศผ่านได้ในขณะที่นกหุบปีกลง ทำให้เกิดความดันอากาศช่วยดันตัวนกให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ แต่เมื่อนกยกปีกขึ้นขนนกบริเวณปีกเปิดออกทำให้อากาศผ่านได้จึงไม่เกิดแรงต้านขณะที่นกบิน
4.ลำตัวของนก นกมีน้ำหนักเบา เนื่องจากโครงกระดูกมีลักษณะเป็นโพรง มีถุงลมที่เจริญดีอยู่ติดกับปอดแทรกอยู่ในช่องว่างของลำตัวและในโพรงกระดูก รวมทั้งนกไม่มีกระเพาะปัสสาวะ น้ำหนักตัวจึงน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนของลำตัว ทำให้นกเคลื่อนที่ด้วยการบินอยู่ในอากาศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ถุงลมยังช่วยให้นกได้รับออกซิเจนเพียงพอต่อเมแทบอลิซึมที่สูงมาก เพราะการเคลื่อนที่ด้วยการบินนั้นต้องใช้พลังงานในปริมาณที่สูงมาก โดยถุงลมจะทำหน้าที่เก็บอากาศสำรองไว้ ขณะหายใจเข้าอากาศที่ผ่านปอดส่วนหนึ่งจะเก็บไว้ที่ถุงลม เมื่ออากาศที่ใช้แล้วออกจากปอด อากาศที่เก็บไว้ในถุงลมจะเคลื่อนเข้าสู่ปอดทันทีซึ่งเป็นการช่วยให้ปอดทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนแก๊สได้อย่างมีประสิทธิภาพ นกจึงได้รับออกซิเจนเพียงพอต่อเมแทบอลิซึมภายในเซลล์
ขอบคุณข้อมูล www.wangchan.ac.th