พฤติกรรมการบริโภคของผู้คนในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ในเรื่องของการบริโภคเครื่องดื่มเย็นชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
น้ำอัดลม ชาไข่มุกยี่ห้อต่าง ๆ กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำแข็งไส ฯลฯ ซึ่งมีปัจจัยมาจากหลายสาเหตุได้แก่ การโฆษณาที่ดึงดูดและแพร่หลายอยู่ในสื่อแหล่งต่าง ๆ สภาพภูมิอากาศในประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อนจึงทำให้ผู้คนจึงนิยมดื่มเครื่องดื่มเย็นเพื่อดับกระหาย จากพฤติกรรมการบริโภคดังกล่าวผู้บริโภคไม่ได้รับแค่ความสดชื่นจากความเย็น หรือความกระปรี้กระเปร่าจากคาเฟอีนเท่านั้น ยังมีอันตรายจากสิ่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในเครื่องดื่มเหล่านั้น นั่นคือ น้ำตาลปริมาณสูงมากจากการบริโภคต่อครั้ง โดยเปรียบเทียบกับแนวทางในการบริโภคที่เหมาะสมสำหรับคนไทย หรือธงโภชนาการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งแนวทางดังกล่าวแนะนำให้รับประทานน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน ( จดหมายข่าวกรมอนามัย 2549; 7 ) ที่จะสะสมในร่างกาย จนนำไปสู่น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น โรคอ้วน หรือแม้แต่การเป็นโรคเบาหวาน
สารให้ความหวานกลุ่มที่ไม่ให้พลังงาน มี 5 ชนิดที่องค์การอาหารและยาของอเมริกายอมรับให้ใช้ได้อย่างปลอดภัย ถ้าใช้ในปริมาณที่เหมาะสม โดยปริมาณสูงสุดต่อวันที่สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย โดยไม่เกิดอันตรายใด ๆ เรียกว่า Acceptable daily intake levels หรือ ADI ดังจะกล่าวรายละเอียดไปพร้อม ๆ ในแต่ละหัวข้อดังนี้
-
แอสพาร์แทม ( Aspartame ) จริง ๆ แล้วสารนี้ให้พลังงานเท่ากับน้ำตาลคือ 4 กิโลแคลอรี/กรัม แต่เนื่องจากเป็นสารที่ให้ความหวาน 180-200 เท่า จึงใช้ในปริมาณที่น้อยมากจนถือว่าเป็นปริมาณที่ไม่ให้พลังงาน ข้อจำกัดของแอสพาร์แทม คือไม่สามารถใช้ปรุงอาหารขณะที่ร้อน ๆ ได้ เพราะกรดอะมิโนแอสพาร์ติก แอซิด ( aspartic acid ) และฟีนิลอะลานิน ( phenylalanine ) จะสลายตัวเมื่อสัมผัสความร้อนสูง ทำให้เกิดรสขม ระดับ ADI ของแอสพาร์แทมคือ ไม่เกิน 40-50 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน จากการศึกษามากกว่า 100 งานวิจัย ได้ข้อสรุปว่าไม่พบความสัมพันธ์ระหว่าง แอสพาร์แทมและการเกิดมะเร็งชนิดใด ๆ ในมนุษย์ แต่มีข้อควรระวังในการใช้กับผู้ป่วยที่มีภาวะฟีนิลคีโตนยูเรีย ( phenylketonuria ) เนื่องจากผู้ที่ป่วยจะไม่มีเอนไซม์ย่อยสารฟีนิลอะลานิน
-
แซคคารีน ( Saccharin ) หรือ ขัณฑสกร ให้ความหวาน 300 เท่าของน้ำตาล ทนความร้อนได้สูง ปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลง แม้จะมีประกาศว่าการบริโภค แซคคารีนนั้นปลอดภัย แต่ผู้บริโภคหลายกลุ่มยังไม่มั่นใจนัก เพราะได้เคยมีการศึกษาว่าโปรตีนอย่างน้อยหนึ่งชนิดที่พบมากในหนูตัวผู้ รวมกันกับแคลเซียมฟอสเฟตและแซคคารีนแล้วทำให้เกิดผลึกขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อกระเพราะปัสสาวะ และเซลล์ที่กระเพาะปัสสาวะของหนูจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากเพื่อซ่อมแซมตัวเอง ทำให้เกิดเนื้องอกขึ้น
ใน ค.ศ. 2000 องค์การอาหารและยาสหรัฐยกเลิกคำเตือนเรื่องการใช้งานแซคคารีนเนื่องจากนักวิจัยพบว่าของ pH, Calcium phosphate และโปรตีนในปัสสาวะไม่เหมือนกันกับของมนุษย์ และยังไม่มีหลักฐานว่าทำให้เกิดมะเร็งในคนได้ จากนั้นในปี ค.ศ. 2001 องค์การอาหารและยาสหรัฐ และรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ประกาศว่าแซคคารีนนั้นปลอดภัยต่อการบริโภค
ส่วนในประเทศไทยมีการใช้แซคคารีนเป็นสารปรุงแต่งรสชาติให้กับอาหารของผู้ป่วยเบาหวานและผู้ป่วยที่ต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด การได้รับแซคคารีนในปริมาณสูงเกินไปอาจทำให้ผู้บริโภค มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินท้องเสีย ปวดท้อง มีอาการง่วงซึม และอาจชักได้ ส่วนผู้ที่แพ้แซคคารีนอาจพบอาการอาเจียน ท้องเดิน และมีผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง ระดับ ADI ของแซคคารีน คือไม่เกิน 5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน
สำหรับการใช้แซคคารีนในสตรีมีครรภ์ ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน เนื่องจากมีบางการศึกษาพบว่า แซคคารีนผ่านรกเข้าไปในเนื้อเยื่อของทารกในครรภ์ได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการใช้ในสตรีมีครรภ์
-
อะซิซัลเฟมโพแทสเซียม ( Acesulfame potassium ) ให้ความหวาน 200 เท่าของน้ำตาลทราย มักใช้ร่วมกับสารให้ความหวานตัวอื่น เพื่อลดรสขม และเสริมฤทธิ์ให้มีความหวานเพิ่มขึ้นด้วย โดยนิยมใส่ในเครื่องดื่มต่าง ๆ รวมทั้งน้ำอัดลม เช่น Pepsi Max, Cocacola Light, Cocacola Zero
-
ซูคราโลส ( Sucralose ) ให้ความหวาน 600 เท่าของน้ำตาล มีรสชาติคล้ายน้ำตาล คงตัวดี และทนต่อความร้อนสูง ไม่ดูดความชื้น ละลายน้ำได้ดี สามารถใช้ปรุงอาหาร โดยให้รสชาติใกล้เคียงกับน้ำตาลมาก ไม่ทำให้เกิดรสขม เฝื่อนติดปลายลิ้น จึงสามารถนำมาใช้เป็นสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลในผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิด เช่น อาหารกระป๋อง ขนมขบเคี้ยว ไอศกรีม ซอส ลูกกวาด หมากฝรั่ง ผลิตภัณฑ์นม แยม เยลลี่ ผักและผลไม้ดอง น้ำตาลสำหรับโรยหน้าขนม เครื่องดื่มต่าง ๆ เป็นต้น
ซูคราโลส (SUCRALOSE) หวานแทนน้ำตาล
ซูคราโลสเป็นสารให้ความหวานที่ไม่ให้ พลังงาน
ซูคราโลสเป็นสารให้ความหวานที่ไม่ให้ พลังงาน ซึ่งถูกสร้างจากการใช้น้ำตาลซูโครสเป็นสารตั้งต้น แล้วแทนที่กลุ่มไฮดรอกซิล 3 ตำแหน่งด้วยอะตอมสารคลอไรด์ ทำให้มีสูตรโครงสร้างคล้ายกับน้ำตาล แต่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ แต่ยังคงให้รสชาติหวานและไม่มีรสขมติดลิ้นใกล้เคียงน้ำตาล ซูคราโลสมีลักษณะเป็นผลึกแข็งสีขาวร่วน ละลายน้ำได้ดีและสามารถใช้ปรุงอาหารร้อนบนเตาได้โดยไม่สูญเสียความหวาน ซูคราโลสมีลักษณะเป็นผลึกแข็งสีขาวร่วน ละลายน้ำได้ดีและสามารถใช้ปรุงอาหารร้อนบนเตาได้โดยไม่สูญเสียความหวาน
ประโยชน์ของซูคราโลส
- ไม่ทำให้ฟันผุ
- ละลายน้ำได้ดี ไม่เป็นตะกอน
- ไม่มีน้ำตาล เหมาะสำหรับผู้ต้องการหลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำตาลและผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ไม่มีข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยหรือมีภาวะฟีนิลคีโตนูเรีย
- หวานกว่าน้ำตาลประมาณ 8 เท่า เป็นผลึกละเอียด ร่วน สีขาว ละลายน้ำได้ดี ทั้งในอาหารร้อนและเย็น
- คาร์โบไฮเดรตต่ำ (extreamly low-carb) เหมาะสำหรับผู้บริโภคตามแนวทางพร่องแป้ง
- ใช้ปรุงอาหารร้อนๆบนเตาได้จริง โดยรสชาติไม่เปลี่ยนและไม่เป็นอันตราย ไม่ว่า ต้ม ผัด นึ่ง ทอด อบ อุ่นอาหารซ้ำ ฯลฯ
- หวานอร่อย ไม่ขม แตกต่างกว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาลตัวเดิมๆที่คุณเคยใช้
ในด้านความปลอดภัย ซูคราโลสเป็นที่ยอมรับจากคณะกรรมการอาหารและยาของหลายประเทศรวมถึงองค์การอนามัยโลก กลุ่มนักวิชาการด้านอาหารของสหภาพยุโรป และสมาคมโรคเบาหวานของแคนาดา ฯลฯ ทั้งนี้ได้มีการทดลองใช้ซูคราโลสกับมนุษย์และสัตว์ทดลองพบว่า ให้ความปลอดภัยต่อร่างกายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง ไม่ส่งผลกระทบ (ผลข้างเคียง) ต่อทั้งระบบการเจริญพันธุ์และระบบประสาทแต่อย่างใด มีบางหน่วยงานของต่างประเทศระบุว่าคนเราสามารถบริโภคซูคราโลสได้ 9 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วันโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
มีการศึกษาเปรียบเทียบการกระจายตัวของซูคราโลสในร่างกายมนุษย์พบว่า ปริมาณซูคราโลสที่มนุษย์บริโภคเข้าไปส่วนใหญ่จะไม่ถูกดูดซึมและจะถูกขับออกไปกับอุจจาระ มีส่วนน้อยประมาณ 10 - 27% ที่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้บ้างซึ่งก็ถูกกำจัดออกโดยไตและผ่านทิ้งไปกับปัสสาวะ
อย่างไรก็ตามปัจจุบันก็ถือว่าซูคราโลสน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้บริโภคทั้งในแง่สุข ภาพ และเป็นสารให้ความหวานที่มีปริมาณที่เพียงพอต่อประชากรของโลก
ขอบคุณแหล่งข้อมูล https://www.scimath.org/
และ http://d-market.online