ลอยขึ้นตราบเท่าที่ น้ำหนักรวมของตัวบอลลูน ตะกร้าสัมภาระบรรทุกและสายรยางค์ต่างๆ น้อยกว่าน้ำหนักของอากาศที่ บอลลูนแทนที่อยู่ ( เนื่องว่าอากาศถือว่าเป็นของไหลในวิชาฟิสิกส์ จึงใช้หลักการเดียวกันที่ใช้กับวัตถุลอยในของเหลว ) อากาศร้อนมีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศเย็น ก็ทำให้ลอยได้ แม้ว่าอากาศร้อน จะไม่เบาเท่าแก๊สบางชนิด แต่ก็ปลอดภัยและง่ายในการทำหัวพ่น ( jet ) จากเปลวแก๊สหุงต้ม ( Propane ) ซึ่งเผาใต้ปากถุงบอลลูนอากาศร้อนสามารถลอยได้หลายชั่วโมง แต่ถ้าไม่มีการเพิ่มความร้อนเข้าไปภายใน ก็จะค่อย ๆ ลดระดับลง
ปี ค.ศ. 1709 ที่กรุงลิสบอน ประเทศสเปน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1783 พี่น้องมงกอลฟีเย ชาวฝรั่งเศส ประสบความสำเร็จในการใช้บัลลูนขนาดใหญ่ ขับเคลื่อนด้วยอากาศร้อน เดินทางที่ความสูง 500 ฟุตในอากาศ เป็นระยะทาง 5 1/2 ไมล์ ใช้เวลา 25 นาที ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกที่ ปารีส และนับเป็นก้าวแรกของการเดินทางด้วยบัลลูนอย่างแท้จริง
การลอยตัวของบอลลูน
ด้วยความฉลาดของมนุษย์ที่สังเกตเห็นว่า ควันไฟลอยสูงขึ้นในอากาศ สองพี่น้องชาวฝรั่งเศสในสกุลมองต์โกลฟิเยร์ คิดทำบอลลูนให้ลอยสูงขึ้นได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 1783 โดยบรรจุอากาศร้อนไว้ภายในบอลลูน เพื่อทำให้เกิดแรงยกเพราะอากาศร้อนเบากว่าอากาศเย็นต่อจากนั้นก็ได้มีการคิดค้นสร้างอากาศยานประเภทเบากว่าอากาศและเรือเหาะซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลขึ้น และพัฒนาขึ้นตามลำดับ
บอลลูนลอยอยู่ในอากาศได้เพราะภายในบอลลูนบรรจุก๊าซที่เบากว่าอากาศไว้ เช่น ไฮโดรเจน ฮีเลียมหรืออากาศร้อน ทำให้ความหนาแน่นรวมของบอลลูน ต่ำกว่าความหนาแน่นของอากาศโดยรอบ บอลลูนจึงลอยอยู่ในอากาศด้วยหลักการของอาร์คีมิดิส เช่นเดียวกับที่ไม้ลอยน้ำ เหล็กลอยในปรอท ความสามารถในการยกน้ำหนักของบอลลูนจึงขึ้นอยู่กับปริมาตรของบอลลูนและความหนาแน่นของอากาศโดยรอบบอลลูนนั้น
ขอบคุณแหล่งข้มูล https://www.scimath.org/lesson-physics/item/7307-2017-06-14-15-22-05