สตาร์ทอัพระดับ Unicorn มูลค่าพันล้านเหรียญสหรัฐจากอินโดนีเซียรายนี้ก่อตั้งในปี 2010 โดย Nadiem Makarim โดยคิดว่าจะแก้ปัญหาการจราจรอันติดขัดยังไงในกรุงจาการ์ตา ซึ่งตอนแรกนั้นให้บริการ Call Center เรียกรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือที่ภาษาอินโด เรียกว่า Ojek ซึ่งมีจักรยานยนต์รับจ้างอยู่ 20 คัน ซึ่งความคล่องตัวของมอเตอร์ไซค์สร้างความได้เปรียบเวลารถติดมากๆ ไม่ต่างจากประเทศไทย
ปัจจุบัน Go-Jek ให้บริการในอินโดนีเซีย 50 เมือง และเตรียมขยายมาในกลุ่มอาเซียนซึ่งไทยก็อยู่ในเป้าหมายนั้นด้วย โดยการประกาศขยายออกนอกประเทศนี้เกิดหลังจากการลงทุนรอบล่าสุดที่มี Google และ Temasek ยังรวมไปถึงบริษัทในประเทศอินโดนีเซียอย่าง Astra International ก็ได้ลงทุนไปด้วยมูลค่า 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
และล่าสุดบริษัทยังมีแผนที่จะนำบริษัทเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์จาการ์ต้าอีกด้วย สร้างความคึกคักให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก
บริการ Go-Jek
โดยบริการนี้ถือเป็นหลักของสตาร์ทอัพรายนี้ โดยจะเน้นไปที่การขนส่ง ประกอบไปด้วย
- Go-Ride บริการเรียกรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
- Go-Car บริการเรียกรถยนต์ เหมือนกับ Uber และ Grab
- Go-Food บริการส่งอาหาร เหมือนกับ Uber Eats, LINE Man และ GrabFood
- Go-Mart บริการส่งของจาก Supermarket เหมือนกับ HappyFresh และ Honestbee
- Go-Send บริการส่งของพัสดุเล็กๆ น้อยๆ ที่เน้นสะดวกหรือเร่งด่วน เหมือนกับ Grab
- Go-Box บริการส่งของที่ใหญ่ขึ้นมาอีก โดยใช้รถปิ๊กอัพหรือ รถบรรทุก
- Go-Tix บริการซื้อตั๋ว ไม่ว่าจะเป็นตั๋วหนัง ตั๋วการแสดง คอนเสิร์ต ฯลฯ
- Go-Med บริการซื้อยาจากร้านขายยาที่ถูกต้อง โดยบริการนี้ร่วมมือกับ Halodoc
บริการ Go-Pay
บริการเหล่านี้ถือว่าเป็นหนึ่งใน Ecosystem ของทาง Go-Jek เพราะว่าสามารถจ่ายจบครบด้วย Application เดียวได้ หรือแม้แต่ยังทำธุรกรรมใน Application ของทาง Go-Jek ได้อีกหลายอย่างมากๆ
- Go-Pay บริการจ่ายเงินโดยใช้โทรศัพท์มือถือ เช่น เวลาไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ สามารถจ่ายเงินผ่าน Go-Pay ได้เลย
- Go-Bills บริการจ่ายบิล ค่าบริการต่างๆ
- Go-Points สะสมแต้มการใช้บริการ Go-Pay โดยนำคะแนนไปแลกเป็นของรางวัลต่างๆ
- Go-Pulsa บริการเติมเงินโทรศัพท์มือถือ
บริการ Go-Life
บริการด้านความสะดวกสบาย และรวมไปถึงผ่อนคลาย! ด้วย และยังรวมไปถึงบริการที่ช่วยแก้ปัญหาหากรถยนต์เกิดปัญหาด้วย
- Go-Massage บริการจองร้านนวด โดยสามารถเลือกระยะเวลา หรือประเภทการนวดได้ด้วย
- Go-Clean บริการจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดบ้าน
- Go-Auto บริการซ่อมและดูแลรถ และยังรวมไปถึงบริการลากรถ หรือแม้แต่พ่วงแบตเตอรี
- Go-Glam ใช่แล้วครับ มันคือบริการแต่งหน้า ทำผม ทำเล็บให้กับสาวๆ ถึงบ้าน!
สำหรับในไทย
16 กันยายน 2563 เวลา 06.00 น. เป็นวันแรกที่ GET แอป Ride Hailing ที่มีจุดเด่นบริการซื้ออาหารออนดีมานด์รีแบรนด์ตัวเองจาก GET เป็น gojek GET เป็นที่เรียบร้อย
ทั้ง ๆ ที่GETเพิ่งแจ้งเกิดในตลาดได้เพียงปีกว่า และใช้เงินอย่างมหาศาลในการสร้าง Brand Awareness และความคุ้นเคยในการใช้งาน
และอะไรทำให้GETต้องเปลี่ยนตัวเองเป็น gojek หลายคนคงสงสัย
เราขอวิเคราะห์ดังนี้
1. GETคือแอปชิมตลาดของ gojek
การเข้ามาทำธุรกิจของGET มาจากการสนับสนุนของ gojek แอป Ride Hailing ยักษ์ใหญ่จากประเทศอินโดนีเซีย ที่ทั้งลงกำลังเงินและเทคโนโลยีที่ให้บริการผ่านแอป
ซึ่งในเวลานั้นเรามองว่า gojek ยังไม่มั่นใจในตลาดประเทศไทย จึงต้องการเข้ามาทดลองตลาดเพื่อหาความเป็นไปได้ในธุรกิจและโอกาสทางการแข่งขัน
ซึ่งลำพังจะใช้ชื่อ gojek บุกตลาดตั้งแต่เริ่มต้นอาจจะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ gojek อาจจะดูไม่ดีนัก ถ้าการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยไม่ประสบความสำเร็จ
gojek จึงเลือกวิธีการเข้าไปเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินและเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้กับGET ซึ่งเป็นแอป Ride Hailing
เรามองว่าในอดีต gojek อาจจะยังไม่มั่นใจในตลาดประเทศไทยมากนักจึงเลือกโมเดลการเข้าเป็นผู้สนับสนุนให้กับกลุ่มผู้บริหารคนไทยที่มีความต้องการทำตลาด Ride Hailing เช่นกัน
และทำให้ gojek เลือกที่จะสนับสนุน ภิญญา นิตยาเกษตรวัฒน์, ก่อลาภ สุวัชรังกูร และอดิศร กาญจนวรงค์ เพื่อก่อตั้งGETขึ้นมาแข่งขันในตลาดแทน
ซึ่งการแข่งขันในตลาด Ride Hailing ในช่วงปีกว่าผ่านแบรนด์GET ผู้บริหารGETทำให้ gojek เห็นความเป็นไปได้ในตลาดที่มีการเติบโตอย่างมหาศาลผ่านพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมานิยมให้บริการ Ride Hailing ในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะการสั่งอาหารออนดีมานด์
ขอบคุณแหล่งข้อมุล https://brandinside.asia/ และ https://marketeeronline.co/archives/188145