ปัจจัยที่จะทำให้เงินบาทแข็งค่า
1.อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยต่ำกว่าของโลกและของประเทศหลัก (เช่น สหรัฐ) อย่างต่อเนื่อง ดังที่เป็นมาในอดีตอย่างน้อย 5 ปีที่ผ่านมาและในอนาคตต่อไปอีก เงินเฟ้อคือการด้อยค่าของเงินซึ่งหากเงินบาทด้อยค่าในอัตราที่ช้ากว่าเงินสกุลหลักของโลกอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปีเป็นเวลาหลายปี ก็จำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เงินบาทจะต้องแข็งค่าเมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลหลักและเงินสกุลอื่นๆ ของโลก
2.ประเทศไทยยังสามารถเกินดุลบัญชีเดินสะพัดได้อย่างต่อเนื่อง ดังที่ได้เกินดุลอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาและต่อไปในอนาคต เพราะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดคือการที่ประเทศไทยมีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศมากกว่ารายจ่ายที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ทำให้เกิดการขาดแคลนเงินบาทอย่างเรื้อรัง
ธปท.ยังยืนยันไม่ลดดอกเบี้ยนโยบายลงและไม่ทำมาตรการผ่อนปรนในเชิงปริมาณหรือ Quantitative Easing (QE) ซึ่งเป็นมาตรการที่ธนาคารกลางของเศรษฐกิจประเทศหลัก เช่น สหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง กลุ่มประเทศดังกล่าวได้ใช้มาตรการ QE ทำให้งบดุลของตัวเอง (ซึ่งแปลว่าการพิมพ์เงินใหม่เข้าสู่ระบบ) เพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่าตัวจาก 3.5 ล้านล้านดดอลลาร์ในปี 2548 มาเป็น 15.9 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือน ก.ค.2563
เฉพาะธนาคารกลางสหรัฐนั้นได้เพิ่มงบดุลจาก 4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2562 (ก่อนโควิด-19) มาเป็น 7 ล้านล้านดอลลาร์ในขณะนี้ การที่ปริมาณเงินสกุลหลักเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาอันสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินบาทย่อมทำให้เงินบาท “หายากและขาดแคลน” ในเชิงเปรียบเทียบ (relative scarcity)
หากสามารถแก้ไขปัจจัยดังกล่าวข้างต้นได้ การเก็งว่าเงินบาทจะแข็งค่าต่อไปก็จะจบลงได้อย่างเฉียบพลันในความเห็นของผม แต่ก็ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้อย่างมีนัยสำคัญในเวลาอันสั้น
แม้ 3 ปัจจัยข้างต้นยังจะอยู่กับประเทศไทย ซึ่งสาเหตุดังกล่าวคือการที่เศรษฐีของไทยจะตื่นตระหนกจากความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างมาก จนทำให้ร่วมกันตัดสินใจขนเงินออกนอกประเทศเป็นจำนวนมากในระยะเวลาใกล้เคียงกัน (capital flight) ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่เราก็เห็น ธปท.ออกมาตรการส่งเสริมให้นำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อช่วยลดแรงกดดันที่ได้ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2558-2562) นั้นข้อมูลที่ธนาคารโลกรวบรวมเกี่ยวกับเงินเฟ้อทั่วโลก พบว่าเงินเฟ้อของโลกเฉลี่ยเท่ากับ 2% ส่วนเงินเฟ้อของสหรัฐนั้นเฉลี่ยเท่ากับ 1.5% ต่อปี แต่สำหรับประเทศไทยนั้นเฉลี่ยเพียง 0.4% ต่อปี (เปรียบเทียบกับเป้าเงินเฟ้อที่ 2.5% ต่อปี) ในขณะที่ในปีนี้นั้นคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในสหรัฐจะประมาณ 1.3% และสำหรับประเทศไทยนั้นจะเท่ากับ -0.8%
ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดนั้น แม้ว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะเกือบไม่มีเหลือแล้วแต่ประเทศไทยก็จะยังเกินดุลประมาณ 14,000 ล้านดอลลาร์ (ตามการคาดการณ์ของ ธปท.) ในปีนี้และในปีหน้า แปลว่าจะมีเงินไหลเข้าประเทศไทยสุทธิจากส่วนนี้เกือบ 1,200 ล้านดอลลาร์ (36,000 ล้านบาท) ทุกๆ เดือน
ขอบคุณแหล่งข้อมูล https://www.bangkokbiznews.com/