ทฤษฎีมูลฐานของเลขคณิต (Fundamental theorem of arithmetic)
ในการเรียนระดับปฐมวัยเราได้เรียนรู้จำนวนชนิดต่าง ๆจากการนับ ต่อมาในระดับประถมศึกษามีการนำจำนวนนับเหล่านี้มาดำเนินการด้วยการบวก ลบ คูณ และหาร จนกระทั้งถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับ
คุณสมบัติข้อหนึ่งของจำนวนนับคือการแยกตัวประกอบตัวอย่างเช่น 20=1X20=2X10=4X5 สังเกตว่า 20 เป็นจำนวนประกอบที่สามารถเขียนในรูปผลคูณของจำนวนนับได้หลายแบบแต่หากเราจะเขียน 20 ในรูปของผลคูณของจำนวนเฉพาะจะเห็นถึงคุณสมบัติของเลขคณิตข้อหนึ่งนั้นคือการเขียนในรูปผลคูณของจำนวนเฉพาะจะเขียนได้เพียงแบบเดียว 20= 2•2•5=22•5 แน่นอนว่าจำนวนนับใดก็ตามย่อมสอดคล้องกับคุณสมบัติของเลขคณิตดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นตามทฤษฎีบทมูลฐานของเลข
หลักการของทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิต
บทมูลฐานของเลขคณิตถูกกล่าวไว้ว่า “จำนวนเต็มใด ๆที่มากกว่า 1 จะสามารถแยกตัวประกอบในรูปผลคูณของจำนวนเฉพาะได้เพียงแบบเดียว”
อาจกล่าวได้ว่าจำนวนเต็ม n > 1 สามารถเขียนในรูป
ได้เพียงแบบเดียวเมื่อ เป็นจำนวนนับ p1,p2,…,pk เป็นจำนวนเฉพาะที่แตกต่างกัน และ e1,e2,…,ek เป็นจำนวนนับที่เป็นเลขชี้กำลังของ p1,p2,…,pk ตามลำดับในส่วนของบทพิสูจน์ผู้เขียนขอละไว้
ข้อสังเกต 1. จำนวนเฉพาะ p ใด ๆจะถูกเขียนในรูปp=p1 เช่น13=131
2. จำนวนนับ 1 ไม่เป็นจำนวนเฉพาะเพราะถ้า 1 เป็นจำนวนเฉพาะแล้วจะเกิดข้อขัดแย้งกับทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิตนั้นคือจำนวนนับใด ๆที่มากกว่า 1 สามารถเขียนในรูปผลคูณของจำนวนเฉพาะได้มากกว่า 1 แบบดังตัวอย่างที่จะอธิบายต่อไปนี้พิจารณา 20=22 X 51 แต่หากเรายอมรับว่า 1 เป็นจำนวนเฉพาะแล้ว 20=22X5=11X22X51=12X22X51=13X22X51= …. จะเห็นว่าเขียนได้มากมายนับไม่ถ้วน
การนำไปใช้
ทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิตได้ถูกนำไปใช้วิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อหาคำตอบและยืนยันข้อเท็จจริงหลายปัญหาในคณิตศาสตร์ ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างบางกรณีเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้อ่านได้ศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป
การหาจำนวนตัวประกอบ
ตัวประกอบจำนวนนับใด ๆคือจำนวนนับที่สามารถหารจำนวนนั้นได้ลงตัว หากพิจารณาถึงตัวประกอบของ 20 ย่อมหมายถึงจำนวนนับที่นำไปหาร 20 ได้ลงตัวได้แก่ 1,2,4,5,10 และ 20
ข้อสังเกต
1. จำนวนนับใด ๆจะมีตัวประกอบ 2 จำนวนที่เช่นได้แจ่มชัดคือ และจำนวนนั้นเช่นตัวประกอบที่แจ่มชัดของ คือ 1 และ 20
- ผลหารของตัวประกอบจะเป็นตัวประกอบด้วยเช่น 2 เป็นตัวประกอบของ 20แล้วผลหาร 10 จะเป็นตัวประกอบของ 20 ด้วย
จากตัวอย่างข้างต้นหากเขียน 20 ในตามหลักทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิตจะได้ว่า 20 = 2X2X5=22X51นั้นคือมีจำนวนเฉพาะที่เป็นตัวกำเนิด 20 คือ 2 ซึ่งมี 2 จำนวน และ 5 มี 1 จำนวนหากเราพิจารณาขั้นตอนการสร้างตัวประกอบจากการเลือก 2 และ 5 จะพบว่า
ขั้นตอนที่ 1 เลือก 2 ได้ 3 แบบคือเลือกมา 0, 1 และ 2 จำนวน
ขั้นตอนที่ 2 เลือก 5 ได้ 2 แบบคือเลือกมา 0, 1 จำนวน
จากขั้นตอนการทำงานจะเห็นว่าเราเลือก 2 ได้ 3 แบบในแต่ละแบบเลือก 5 ได้อีก 2 แบบจำนวนตัวประกอบของ 20 = 22 X 51 เท่ากับ (2+1)X(1+1) = 6 ในทำนองเดียวกันหาเราพิจารณา 144 = 24 X 32 จะมีจำนวนตัวประกอบเท่ากับ (4+1) X (2 + 1) = 15 จำนวน
การหาห.ร.ม. และค.ร.น.
จากความรู้เรื่องการแยกตัวประกอบเรารู้ว่าตัวหารที่หารได้ลงตัวคือตัวประกอบ ดังนั้นตัวหารร่วมมากจึงหมายถึงตัวประกอบร่วมที่มากที่สุดตัวอย่างเช่นจะหาห.ร.ม.ของ 120 และ 144 จากทฤษฎีมูลฐานของเลขคณิตจะได้ 120 = 23 X 31 X 51 และ 144 = 24 X 32 พิจารณา ห.ร.ม. จะได้ว่า ห.ร.ม.ของ 120 และ 144 คือ 2min{3,4} X 3min{1,2} X 5min{0,1} = 23 X 31 X 50 = 24 และยังได้อีกว่า ค.ร.น.ของ 120 และ 144 คือ 2max{3,4} X 3max{1,2} X 5max{0,1} = 24 X 32 X 51 =720
หมายเหตุ พิจาณา ห.ร.ม. ของ 504 630 756 จากทฤษฎีมูลฐานเลขคณิตจะได้ 504 = 23 X 32 X 7 630 = 2 X 32 X 5 X 7 และ 756 = 22 X 33 X 7 จะได้ว่า
ห.ร.ม.คือ 2min{3,1,2} X 3min{2,3,2} X 5min{0,0,1} = 21 X 32 X 50 X 71 = 126 ในทำนองเดียวกันจะได้ ค.ร.น. คือ 2max{3,1,2} X 3max{2,3,2} X 5max{0,0,1} X 7max{1,1,1} = 23 X 33 X 51 X71 =7,560
หาตัวคูณ n ที่น้อยที่สุดที่ทำให้ผลคูณเป็นจำนวนกำลังสอง
พิจารณา 25 X 3 X 52 X 73 X n จะหาจำนวนนับ n ที่น้อยที่สุดที่ทำให้ 25 X 3 X 52 X 73 X n เป็นจำนวนกำลังสอง จะได้ว่า 25 X 3 X 52 X 73 X n = 26 X 32 X 52 X71 = (25 X 3 X 52 X73 )X(2X3X7) นั้นคือ n = 42ในทำนองเดียวกันหากต้องการหาจำนวนนับ n ที่ทำให้ 25 X 3 X 52 X 73 X n เป็นจำนวนกำลังสามจะได้ว่า 25 X 3 X 52 X 73 X n = 26 X 33 X 53 X73 = (25 X 3 X 52 X73 )X(2X32X5) นั้นคือ n = 90
หาเลขชี้กำลัง n ที่น้อยที่สุดที่ทำให้ผลบวก 28 + 211 + 2n เป็นจำนวนกำลังสอง
สมมติให้ 28 + 211 + 2n = x2 จะได้ว่า 482 + 2n = x2 พิจารณา 2n = x2 – 482 = (x + 48) (x-48)
จากทฤษฎีหลักมูลฐานของเลขคณิตจะได้ว่า (x + 48)(x-48)สามารถเขียนได้ในรูปของ 2n
จะเห็นว่า 25 X 3 = 2b X (2a-b – 1) สรุปได้ว่า b=5 และ a-b = 2 ดังนั้น n=a+b=2+10=12
การยืนยันหรือสรุปข้อเท็จจริงบางอย่าง
จัดรูปจะได้ 2n2 = m2 ต่อไปเราจะแยกพิจารณาพจน์ทางซ้ายมือและพจน์ทางขวามือด้วยทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิต
พิจารณาพจน์ทางซ้ายมือ ถ้า n มีตัวประกอบ k จำนวนแล้ว 2n2 จะมีตัวประกอบอยู่ 2k + 1 จำนวนซึ่งเป็นจำนวนคี่ แต่หาพิจารณาพจน์ทางขวามือคือ m2 จะมีจำนวนตัวประกอบเป็นจำนวนคู่เสมอ จะเห็นว่าจำนวนตัวประกอบของพจน์ซ้ายมือจะถูกเขียนในรูปผลคูณที่มีจำนวนเฉพาะอยู่เป็นจำนวนคี่ในขณะที่พจน์ขวามือจะมีอยู่เป็นจำนวนคู่ ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิตที่กล่าวไว้ว่าจำนวนนับใด ๆจะสามารถเขียนในรูปผลคูณของจำนวนเฉพาจะได้เพียงแบบเดียว
ขอบคุณแหล่งข้อมูล https://www.scimath.org/lesson-mathematics/item/7441-2017-08-11-04-47-44