เคล็ดลับดูแลสุขภาพประจำวันสำหรับคนวัยทำงาน
คนทำงานหลายๆคนมักจะละเลยการดูแลสุขภาพ 4 วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้สุขภาพของคนทำงานอย่างคุณดีขึ้นทันตาเห็น ถ้าได้ลองทำตามคำแนะนำของเรา
- ออกกำลังกายในตอนเช้า
การตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้คุณสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แล้ว ยังทำให้อวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น หลังจากการออกกำลังกาย ร่างกายของเราจะหลั่งฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นการทำงานของร่างกายซึ่งจะเป็นการควบคุมระดับอัตราการเต้นของหัวใจ ความดัน และการไหลเวียนของโลหิตให้เป็นปกติ ยิ่งไปกว่านั้นการออกกำลังกายจะเร่งกระบวนการเผาผลาญพลังงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจยาวนานถึง 24 ชั่วโมงหลังออกกำลังกายเสร็จแล้ว นั่นหมายถึง คุณจะสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าปกติ ตลอดทั้งวัน เพียงแค่คุณลุกตื่นมาออกกำลังกายในตอนเช้า
- รับประทานอาหารเช้าโดยเน้นสารอาหารประเภทโปรตีน
เพราะอาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน การเลือกอาหารเช้าที่อุดมไปด้วยโปรตีนจะทำให้คุณอิ่มท้องนานกว่าสารอาหารประเภทอื่นๆ ทำให้คุณรับประทานอาหารมื้อต่อไปน้อยลง ไม่หิวง่ายและไม่เกิดพฤติกรรมการกินจุกจิกระหว่างมื้อ ซึ่งในท้ายที่สุดจะทำให้คุณได้รับแคลอรี่โดยรวมน้อยลงในหนึ่งวัน ส่งผลให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน และโรคอื่นๆที่มีสาเหตุมาจากการตามใจปากลดลง
- ฟังเพลงระหว่างเดินทางมาทำงาน
การฟังเพลงที่มีจังหวะช้าๆ เช่น เพลงคลาสสิก หรือเพลงบรรเลง จะช่วยให้สมองของคุณผ่อนคลาย มีสมาธิและมีอารมณ์แจ่มใส ในขณะที่เพลงที่มีจังหวะเร็ว จะกระตุ้นให้สมองตื่นตัวและพร้อมที่จะทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นการฟังเพลงซึ่งอาจจะเป็นแนวเพลงที่ตัวคุณเองชื่นชอบ ยังจะช่วยลดความเครียดจากสิ่งรบกวนรอบข้างเมื่อคุณต้องเผชิญกับความวุ่นวายจากการเดินทางมาทำงานในชั่วโมงเร่งด่วนได้อีกด้วย
- เก็บอุปกรณ์สื่อสารให้ห่างตัวเมื่อถึงเวลานอน
คุณก็ควรปิดมือถือเมื่อได้เวลาเข้านอน การวางอุปกรณ์จำพวกสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตไว้ใกล้ตัวคุณจะรบกวนเวลาในการนอนของคุณ คุณอาจจะนอนหลับยากขึ้น หรือนอนดึกกว่าเวลาที่คุณตั้งใจไว้ เพราะมัวแต่เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์คจนไม่ยอมหลับยอมนอน นอกจากนี้ยังอาจทำให้คุณตื่นสาย หรือตื่นมาแล้วไม่สดชื่น จนส่งผลเสียต่อการทำงานได้ และนานวันเข้าการพักผ่อนไม่เพียงพออาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพร่างกายโดยที่คุณคาดไม่ถึง เช่น ระบบการเผาผลาญและระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี ฮอร์โมนต่างๆทำงานผิดปกติทำให้อารมณ์แปรปรวน ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอทำให้ป่วยได้ง่าย
อัพเดทสมอง
สมองของมนุษย์สมัยใหม่แทบไม่ต่างจากสมองของบรรพบุรุษเมื่อ 10000 ปีที่แล้ว แต่สภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบันนั้น แตกต่างจากสมัยก่อนมาก การอัพเดทสมองจึงเป็นเรื่องน่าสนใจ และไม่ใช่การเพิ่มหน่วยความจำเหมือนกับที่เราอัพเดทคอมพิวเตอร์ แต่เป็นการอัพเดทในส่วนของซอฟต์แวร์ หรือเปลี่ยนวิธีคิดของเรา
เราอาจจะยังยึดติดและคิดว่าพัฒนาการสมองจะเกิดขึ้นเฉพาะตอนเด็ก แต่ความจริงคือเรายังสามารถพัฒนาสมองได้เรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ สมองก็ยังเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้เราเรียนรู้และเชี่ยวชาญทักษะใหม่ๆ ได้
สมองเปลี่ยนแปลงได้ในระดับเคมี การเพิ่มเคมีในสมองที่ส่งผ่านระหว่างนิวรอน มีผลกับความจำระยะสั้น สมองเปลี่ยนแปลงได้ในระดับโครงสร้าง การจัดระเบียบใหม่ มีผลกับความจำระยะยาว และนอกจากนั้นสมองยังสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานได้ด้วย
การอัพเดทสมองไม่ใช่แค่การฝึกความจำ สมองมีไว้สำหรับคิด ไม่ได้มีไว้สำหรับเก็บความคิด ยิ่งเราจำมากเท่าไหร่ มันก็ทำให้เรามีพื้นที่ว่างสำหรับคิดน้อยลง
Your mind is for having ideas, not holding them.—David Allen
สมองเรามีนิวรอนอยู่มากมาย และสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆ เราอาจจะสูญเสียนิวรอนไปวันละ 85000 แต่มันน้อยมากเมื่อเทียบกับที่เรามีอยู่ แค่ในส่วน Cerebral cortex เราก็มีนิวรอนถึง 4 หมื่นล้าน
สมองเราเติบโตและพัฒนาได้เรื่อยๆ โดยการเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ เปิดโอกาสเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทักษะหรือภาษาใหม่ๆ ทำงานและแก้ปัญหายากๆ
การที่เราทำแต่สิ่งเดิมๆ ทุกวัน มันจะปิดโอกาส ไม่ให้เราได้เกิดความสงสัย สมองจะพัฒนาและเติบโตได้เมื่อเราเปลี่ยนบรรยากาศ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ได้คุยกับคนใหม่ๆ ได้ลองกินอาหารใหม่ๆ
การอ่านก็มีส่วนช่วยให้สมองเติบโต แต่หนังสือพิมพ์ที่เต็มไปด้วยข่าวร้ายมันอาจทำให้เราไม่อยากอ่าน ทำให้อ่านหนังสือน้อยลง ทำให้สมองเราโหยหาความรู้ใหม่ๆ
ไม่ควรประเมินความสามารถของสมองต่ำไป สมองเราทำได้มากกว่าการคิดคำนวณตัวเลข สมองที่เรียนรู้และเติบโตจะช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
เปลี่ยนมุมมอง ลองคิดแบบใหม่
เวลาเราไปออกกำลังกายหรือไปวิ่ง ก็จะมีคนทักว่า ลดน้ำหนักหรอ หรือเวลาที่เรากินผัก กินสลัด ก็จะมีคนทักอีกว่า ลดน้ำหนักหรอ
การลดน้ำหนักด้วยการวิ่งไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด เราไปวิ่งไม่ใช่เพราะต้องการลดน้ำหนัก แต่เป็นเพราะประโยชน์ของการวิ่งมันมีเยอะมากกว่านั้น
ถ้าเรามองการวิ่งเป็นการออกกำลังเพื่อลดน้ำหนัก เป็นไปได้ที่เราจะฝืนไปวิ่งทั้งๆ ที่ไม่ชอบ เหนื่อยก็เหนื่อย เหงื่อออกแต่ก็ต้องทน จนทำให้เบื่อ หมดกำลังใจ ล้มเลิกได้ง่ายๆ แต่ถ้าเราเห็นประโยชน์ของการวิ่งมากกว่าการลดน้ำหนัก มันจะทำให้เราอยากออกไปวิ่งมากขึ้น ถึงแม้รถติดก็ต้องไป เช่น
- การวิ่งหรือการเดินช่วยให้เราคิดได้ดีขึ้น คิดสร้างสรรค์มากขึ้น
- ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขเอ็นโดรฟิน (Endorphin) เพื่อบรรเทาอาการเจ็บจากการวิ่ง
- ร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลีน (Adrenaline) ออกมาในตอนที่เราวิ่งเร็วๆ
- ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขเซโรโทนิน (Serotonin) ในตอนที่เราวิ่งเร็วที่สุด วิ่งได้นานที่สุด
- ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกซิโทซิน (Oxytocin) ตอนที่เราวิ่งด้วยกันกับเพื่อน
ถ้าเรามองการกินสลัด กินผักผลไม้ ไม่ใช่แค่การลดน้ำหนัก แต่เป็นเพราะเรารักและเป็นห่วงร่างกายของเราเอง เป็นวิธีการตอบแทนที่ร่างกายเราทำงานหนัก ทำให้เราต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ รู้ว่าน้ำตาล น้ำหวาน อาหารประเภทแป้ง มันไม่ดีต่อร่างกาย ถึงจะอยากแต่ก็ต้องอดใจไว้
หรือการอดอาหาร กำหนดช่วงเวลาของการกิน เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาพัก ที่เราทำไปก็เพื่อให้ร่างกายได้พัก ได้ฟื้นฟู ปล่อยให้น้ำหนักที่ลดลงเป็นผลพลอยได้จากการที่เราห่วงสุขภาพตัวเอง
ลองเปลี่ยนมุมมอง ลองคิดแบบใหม่ มันอาจจะทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น
Insight Eureka Aha moment
ส่วนใหญ่ไอเดียเกิดขึ้นจากการคิดใคร่ครวญ ค่อยๆ กลั่นกรองความคิดความรู้สึกออกมา แต่บางครั้งไอเดียก็เกิดขึ้นได้เองโดยที่เราไม่ได้พยายามคิด อยู่ดีๆ เราก็ คิดออก
ไอเดียที่ทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ ทำให้เราเห็นทางออก คิดออกว่าจะทำอะไรต่อไป ไอเดียที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา เช่น ทำให้เราเปลี่ยนงาน ทำให้อยากแต่งงาน ทำให้เลิกกัน ทำให้อยากฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับมาดีเหมือนเดิม ทำให้อยากย้ายบ้าน ทำให้อยากเลิกนิสัยที่ไม่ดี
เราอาจคิดว่าสมองตอนที่เราหยุดคิด จะเป็นช่วงเวลาที่สมองได้พักและทำงานน้อยลง แต่ความจริงสมองก็ยังคงยุ่งและทำงานเต็มที่ เป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้ความคิดอื่นๆ ผ่านเข้ามาในสมอง ทำให้เราคิดอะไรใหม่ๆ ได้
สมองตอนที่เราหยุดคิดช่วยให้เราแก้ไขปัญหาได้ดี แต่ข้อเสียคือมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา บางครั้งมันก็คิดไม่ออก
การคิดใคร่ครวญเป็นสิ่งแรกที่เราจะทำเมื่อต้องการแก้ไขปัญหา แต่ปัญหาบางอย่างก็ไม่อาจแก้ไขด้วยความรู้หรือประสบการณ์ที่เราคุ้นเคย ไม่สามารถใช้จิตสำนึกค้นหาคำตอบได้ การคิดใคร่ครวญช่วยให้เราหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในกล่องได้ แต่มันจะไม่ช่วยถ้าคำตอบอยู่นอกกล่อง
บางครั้งการคิดแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบมากเกินไป ก็ทำให้ลดโอกาสที่จะค้นหาคำตอบได้ เพราะการคิดใคร่ครวญมันทำให้เราปิดกั้นตัวเองจากความคิดอื่นๆ ที่เรามองว่าไม่เกี่ยวข้อง ที่มันอาจจะเป็นทางออกที่นำเราไปสู่การค้นพบได้
เหมือนกับว่ายิ่งพยายามมองหาคำตอบ มันก็ยิ่งทำให้เรามองไม่เห็นคำตอบ ดังนั้นเราอาจจะต้องเลี่ยง ไม่มองตรงๆ ลองหันไปมองไปทางอื่น เพื่อเปิดโอกาสให้เรามองเห็นคำตอบ
จังหวะเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราใช้เวลาคิดใคร่ครวญมากจนเกินไป คำตอบมันอาจจะหายไป แต่ถ้าเราใช้เวลาคิดใคร่ครวญน้อยเกินไป ถ้าเราหยุดคิดเร็วไป เราก็จะไม่มีข้อมูลสำคัญที่จำเป็น สำหรับประกอบกันเป็นคำตอบให้เราได้
ชอบคุณข้อมูล https://www.nicetofit.com/