เจ้าของบริษัทด้านเทคโนโลยีชั้นนำอย่างเทสลาและสเปซเอ็กซ์ มีความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) ที่ 1.85 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5.57 ล้านล้านบาท หลังจากราคาหุ้นของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเทสลาพุ่งสูงขึ้น
แต่เคล็ดลับความสำเร็จของเขาคืออะไร ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ผมได้ใช้เวลาเกือบชั่วโมงพูดคุยกับเขาเรื่องนี้ เมื่อเขาได้กลายมาเป็นบุคคลที่มั่งคั่งที่สุดในโลก เราเลยตัดสินใจนำการสัมภาษณ์ในครั้งนั้นมาเล่าให้คุณฟังใหม่
1. ไม่ใช่เรื่องเงิน
นี่เป็นความคิดสำคัญในการทำธุรกิจของอีลอน มัสก์ ตอนผมคุยกับเขาเมื่อปี 2014 เขาบอกว่าไม่รู้ว่าตัวเองมีเงินเท่าไร
“มันไม่ใช่ว่าจะมีกองเงินอยู่ที่ไหนสักแห่ง” มัสก์ บอก “แค่ว่าผมมีเสียงโหวตจำนวนหนึ่งในบริษัทเทสลา สเปซเอ็กซ์ และโซลาร์ซิตี และระบบตลาดก็กำหนดมูลค่าให้เสียงโหวตเหล่านั้น” เขาบอกว่าไม่มีปัญหากับการวิ่งหาความร่ำรวย “หากทำด้วยวิธีที่ดีและถูกหลักจรรยาบรรณ” แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ขับเคลื่อนเขา ตอนที่เราคุยกันเมื่อปี 2014 บุคคลซึ่งเป็นแรงบันดาลใจตัวจริงให้กับตัวละครโทนี สตาร์ค ในภาพยนตร์เรื่องมหาประลัยคนเกราะเหล็ก (Iron Man) ผู้นี้ยังมีทรัพย์สินแค่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ปีที่ผ่านมา มูลค่าหุ้นบริษัทเทสลาเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่มัสก์บอกว่าเขาไม่คิดจะรวยไปตลอด ในอนาคต เขาบอกว่าเงินส่วนใหญ่ของตัวเองน่าจะหมดไปกับการลงทุนสร้างฐานที่อยู่บนดาวอังคาร
2. ทำในสิ่งที่ชอบ
“คุณอยากให้สิ่งต่าง ๆ ในอนาคตดีขึ้น คุณอยากได้สิ่งใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น” มัสก์ บอกผม
ดูอย่าง สเปซเอ็กซ์ เป็นตัวอย่าง เขาก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาเพราะหงุดหงิดที่โครงการอวกาศของสหรัฐฯ ไม่ทะเยอทะยานพอ เขาอยากเห็นมนุษย์ก้าวพ้นไปจากโลก พาคนไปดาวอังคารสำเร็จ และก็มีฐานที่ตั้งบนดวงจันทร์
เวลาผ่านไป เขาตระหนักว่าไม่ใช่ว่าคนไม่มีความสามารถ แต่ไม่มีแรงผลักดันพอที่จะทำต่างหาก และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการสำรวจอวกาศก็แพงเกินไปกว่าที่ควรจะเป็น
นั่นเป็นที่มาของการก่อตั้งธุรกิจส่งจรวดขึ้นอวกาศที่ถูกที่สุดในโลก และสิ่งสำคัญคือเขาไม่ได้ทำเพื่ออยากจะรวยขึ้น แต่อยากส่งมนุษย์ไปดาวอังคารให้ได้
มัสก์บอกผมว่าเขามองตัวเองเป็นวิศวกรมากกว่าเป็นนักลงทุน และสิ่งที่ผลักดันเขาทุกวันคือความปรารถนาที่จะแก้ปัญหาเชิงเทคนิค
นั่นเป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้ไม่นานหลังจากนั้น เขาตัดสินใจยกเลิกสิทธิบัตรในการผลิตของเทสลาทั้งหมดเพื่อช่วยให้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกดำเนินไปเร็วมากขึ้น
3. อย่ากลัวที่จะคิดการใหญ่
ความทะเยอทะยานเป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของธุรกิจต่าง ๆ ของมัสก์ เขาอยากปฏิวัติวงการรถยนต์ พามนุษย์ไปดาวอังคาร สร้างอุโมงค์รถไฟความเร็วสูง และใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ร่วมกับสมองคน
สิ่งที่เหมือนกันของโครงการเหล่านี้คือมันเหมือนเป็นความเพ้อฝันแบบที่เราพบในนิตยสารของเด็กในช่วงต้นทศวรรษ 80 เขาบอกว่าหลายบริษัทพัฒนาไปอย่างเชื่องช้าเพราะพยายามที่จะไม่ทะเยอทะยานเกินไปเพราะกลัวจะล้มเหลว
คำแนะนำของมัสก์ก็คือ จงทำใน “สิ่งที่จะมีความหมาย”
4. กล้าเสี่ยง
แน่นอนว่าคุณต้องมีต้นทุนถึงจะกล้าเสี่ยง แต่มัสก์ก็กล้าเสี่ยงกว่าใครหลายคนมาก
ถึงปี 2002 เขาขายหุ้นธุรกิจสองตัว ได้แก่ Zip2 ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ออนไลน์สำหรับนำเที่ยวเมือง และ PayPal ซึ่งเป็นบริษัทสำหรับการจ่ายเงินทางออนไลน์ ตอนนั้น เขาเพิ่งจะอายุได้ 30 กว่า และมีเงินเกือบ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในบัญชี
5.ไม่ต้องฟังคำวิจารณ์
มัสก์เล่าว่ามีคนมากมายที่อยากให้เขาล้มเหลว
เมื่อผมถามว่าอาจจะเป็นเพราะเขามีท่าทางหยิ่งผยองในความทะเยอทะยานของเขาด้วยหรือเปล่า มัสก์บอกว่า “ผมคิดว่ามันจะเป็นความหยิ่งผยองหากเราพูดว่าเราจะทำสำเร็จแน่ ๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับการบอกว่าเราฝันที่จะทำมัน
6. มีความสุขกับตัวเอง
เป็นที่รู้กันว่ามัสก์ทำงานหนักมาก เขาบอกว่าทำงานสัปดาห์ละ 120 ชั่วโมงเพื่อให้การผลิตของรถเทสลารุ่น Model 3 ดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่เขาก็ดูมีความสุขขึ้นมากตั้งแต่คราวที่ให้สัมภาษณ์บีบีซี
6. กล้าที่จะเสี่ยงเพราะหากสำเร็จแล้วมันต้องคุ้มค่า
เขาจะมีมุมมองความคิดที่กว้างไกลกว่าคนทั่วไปและกล้าที่จะกำหนดเป้าหมายที่คาดว่าจะสำเร็จในอนาคตแม้หลายคนจะบอกว่ามันคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แต่มัสก์กล้าที่จะเสี่ยงในสิ่งที่เขาคิดว่าหากมันสำเร็จแล้วต้องคุ้มค่า ในวัยหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มทำงาน ซึ่งอาจจะยังไม่มีภาระมากมาย ควรมีความกล้าที่จะฝันและเสี่ยงทำตามความฝันของตัวเอง ซึ่งเคล็ดลับในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของเขาก็คือ ความกระตือรือร้นนั่นเอง
7. ต้องไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค
เพราะเขามีความมุ่งมั่นต่อแนวคิดและโครงการที่จะทำทุกครั้ง ทำให้เขาไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ แม้ในอดีตที่ผ่านมา การทดสอบจรวดไปสู่อวกาศของเขาประสบความล้มเหลวหลายครั้ง ซึ่งมันคือการสูญเสียเงินจำนวนมหาศาล แต่เขาไม่ยอมแพ้และยังคงทำสิ่งที่ผิดพลาดให้กลับมาสำเร็จอีกครั้ง
8. ต้องรักในสิ่งที่ตัวเองทำ
มัสก์มักจะบอกทุกคนว่า ไม่ว่าจะมีกี่โครงการมันก็คือ สิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้กับโลก ที่สำคัญคือ จะต้องรักในสิ่งที่ตัวเองทำเพราะหากไม่รักก็คงจะไม่มีความสุขและไม่มีใจที่อยากจะทำ แต่ถ้ารักในสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องคอยคิดถึงสิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลา และต้องไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ ให้คิดว่าเหมือนกับเป็นงานอดิเรกที่ทำเท่าไรก็ไม่มีทางเบื่อ
เขาเปรียบว่า “นักกีฬาที่เขาประสบความสำเร็จนั่นแสดงว่าพวกเขาต้องชอบและรักกีฬาชนิดนั้นๆ และคงไม่เบื่อที่จะฝึกซ้อมทุกวัน เพราะมีความอยากเก่งขึ้นเรื่อยๆ” เขาเองก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน
9. คัดเลือกคนเก่งๆ มาร่วมงาน
เขาให้ความสำคัญกับการทำงานทุกโครงการอย่างมาก และมักจะเลือกสรรคัดหาคนเก่งๆ มาทำงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ รวมถึงการทำงานเป็นทีม และการดูแลรักษาบุคลากร ฯลฯ เพราะจะสะท้อนให้เห็นแนวคิดในการให้ความสำคัญกับการบริหารคนในองค์กร
10. ต้องมั่นใจว่าสินค้าหรือบริการดีที่สุด
มัสก์บอกว่า ไม่ว่าจะขายอะไร ต้องให้มั่นใจว่าสินค้าหรือบริการของตัวเองดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่แค่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับของคนอื่น ซึ่งจะทำให้เห็นถึงความตั้งใจในการทำงานอย่างเต็มที่ที่จะทำให้งานทุกอย่างออกมาดีที่สุดและพร้อมที่สุด
11. ต้องทำงานหนักและคิดเยอะๆ ตลอดเวลา
มัสก์บอกว่า “คุณไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญาเอกในการจะเริ่มเป็นผู้ริเริ่ม” ซึ่งเขาและพี่ชายต้องทำงานหนักมากๆ ชนิดที่ว่า Work Super Hard เพราะสมัยที่เริ่มก่อตั้งบริษัทใหม่ๆ พวกเขาทำงานหนักมากตลอดเวลาที่ลืมตา ถ้าพักก็คือ เวลานอนเท่านั้น ซึ่งเคล็ดลับในการทำงานของเขาให้ประสบความสำเร็จคือการทำงานเยอะๆ
12. ความล้มเหลวเป็นเหมือนตัวเลือก
เขาบอกว่า “ความล้มเหลวถือเป็นหนึ่งในตัวเลือก หากคุณยังไม่เคยพลาด นั้นอาจแปลว่าคุณยังไม่เคยที่จะริเริ่มสร้างสิ่งใหม่ๆ” ทำให้เขาสามารถหาสิ่งใหม่ๆ แนวคิดใหม่ๆ มาต่อยอดให้สำเร็จ ผู้คนนับไม่ถ้วนรวมถึงผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกกับมัสก์ว่า ไอเดียของเขาเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่มีทางสำเร็จแต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจและยังคงทำสิ่งต่างๆ ในแบบที่เขาต้องการ
13. ต้องมีความกล้า บ้าบิ่นที่จะเสี่ยง
ต้องสามารถที่จะคิดในการออกแบบระบบ พร้อมที่จะดึงเอาการออกแบบของเทคโนโลยีและธุรกิจ เข้ามาในองค์รวมเดียวกัน เพื่อผสมผสานมันในรูปแบบ ซึ่งน้อยคนจะสามารถทำได้ สิ่งสำคัญคือ การรู้สึกโคตรมั่นใจ ต้องมีความกล้าบ้าบิ่นที่จะเสี่ยง เพราะมันเหมือนการเดิมพันชะตาชีวิตไว้กับงานทุกอย่างที่เสี่ยง แม้อาจจะต้องทำแบบนั้นหลายครั้งก็ตาม
14. คิดตลอดจะต้องทำอย่างไรจึงจะค้นพบสิ่งใหม่
เขาบอกว่า การมีกรอบสำหรับแนวคิดเป็นสิ่งที่มีปัญหาต่างๆ จะต้องลงถึงจุดที่เป็นแก่นความจริง และใช้เหตุผลก่อนที่จะเกิดปัญหา การลอกเลียนแบบในสิ่งที่คนอื่นๆ ซึ่งอาจมีความแตกต่างไปเล็กน้อย สมองอาจจะม่ได้ทำงานหนักจนเกินไป แต่เมื่อคุณต้องการทำอะไรใหม่ๆ คุณจะเข้าใจจริงๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร จึงจะทำให้เกิดการค้นพบ ซึ่งมันคือสิ่งสำคัญที่จะต้องทำ
15. ทุกวินาทีมีค่าเสมอ
มัสก์เองก็ถือว่า เป็นหนอนหนังสือตัวยง เขาอ่านหนังสือมากพอๆ กับที่คนอื่นๆ ที่ชอบดูทีวี ในหนึ่งวันทุกคน ต่างก็มี 24 ชั่วโมงเท่ากัน ซึ่งคุณไม่สามารถขอเวลาเพิ่มได้แม้แต่วินาทีเดียว แม้จะรู้อย่างนั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายคนใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระและใช้ชีวีตให้เวลามันผ่านเลยไปวันๆ แต่ตัวเขาต้องการใช้เวลาทุกวินาทีให้เกิดประโยชน์เพื่อคิดค้นสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
การทำงานมิใช่มุ่งผลเฉพาะมูลค่าทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นแนวคิดการมองโลกที่เป็นข้อแตกต่างระหว่างนักธุรกิจธรรมดากับนักธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งอีลอน มัสก์บอกว่าทุกอย่างอยู่ที่ความกล้าคิดตามความฝันของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีไฟฟ้า อย่างการผลิตรถพลังงานไฟฟ้า หรือการเดินทางไปอวกาศ ซึ่งเหล่านี้หาพบได้ยากใน CEO บริษัทอื่นๆ แน่นอน
ขอบคุณข้อมูล https://www.bbc.com/