Musk เป็นเศรษฐีหมื่นล้านดอลลาร์ ติดอันดับเศรษฐี ของโลกจากการ Ranking ของนิตยสาร Forbes โดยสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของเขาคือ มันสมองและวิสัยทัศน์ แต่ก่อนที่ Musk จะประสบความสำเร็จจน ผ่านความล้มเหลวและอุปสรรคหนักๆ มามากมาย
นี่เป็นสิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้ และทุกข้อล้วนส่งผลให้ Musk เป็น Musk อย่างทุกวันนี้
1. เคยโดนแกล้งหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล
Musk เกิดที่แอฟริกาใต้เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ปี 1971 มีพ่อเป็นวิศวกร แม่เป็นนางแบบ การที่พ่อเป็นวิศวกรทำให้ Musk สนใจโปรแกรมคอมพิวเตอร์และขลุกอยู่กับหนังสือหนักมากจนเรียกได้ว่าเป็นเด็กเนิร์ด และเขาก็ชอบเรียนรู้ด้วยตัวเอง คิดประดิษฐ์โปรแกรมจริงจังตั้งแต่เด็ก เช่นการคิดซอฟต์แวร์เกม Blaster ตอนอายุ 12 ปี แล้วก็ขายให้นิตยสารคอมพิวเตอร์ในราคา 500 ดอลลาร์
การหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่สนใจทำให้ Musk เข้าสังคมไม่เก่งและอ่อนต่อโลก จึงถูกเด็กนักเรียนด้วยกันหลอกและแกล้งได้ง่าย ชีวิตในวัยเด็กของ Musk จึงมีแต่ความทุกข์เพราะโดนแกล้งบ่อย ที่แรงๆ ก็คือ ถูกจับโยนลงบันไดแล้วก็ถูกทุบตีต่อจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งอาการบาดเจ็บในตอนนั้นทำให้ Musk มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจมาถึงตอนนี้
2. สมัครงานไม่ได้งาน
น้อยคนนักจะรู้ว่า Musk เคยสมัครงานที่ Netscape บริษัทผู้คิดค้นเว็บเบราเซอร์โอเพนซอร์สชั้นนำ แต่สมัครแล้วเขาก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ เนื่องจากเขาไม่มี Background ด้าน Computer Science
Musk มีดีกรีปริญญาตรีใบแรกด้านฟิสิกส์และใบที่สองด้านเศรษฐศาสตร์จาก Wharton School เขาเรียนเก่งแต่เป็นคนขี้อาย ขนาดที่ว่าไปถึงออฟฟิศ Netscape เพราะอยากทำงานที่นั่น แต่ไม่กล้าคุยกับใครก็เลยกลับ
3. ก่อตั้ง Zip2 แต่ไม่มีสิทธิบริหาร
ตอนอายุ 24 Musk เรียนต่อด้านฟิสิกส์ประยุกต์และวัสดุศาสตร์ที่ Stanford University แต่เรียนได้ 2 วันก็ลาออก เพราะคิดว่าเอาเวลาเรียนไปตั้งบริษัท ไปเป็นผู้ประกอบการเองเลยดีกว่า โดยมีความสนใจ 3 ด้านคือ อินเทอร์เน็ต, พลังงานสะอาด และอวกาศ
ด้วยสปิริตที่อยากจะเป็นผู้ประกอบการ Musk กับน้องชายจึงร่วมกันก่อตั้ง Zip2 Corporation บริษัทผู้พัฒนาเว็บไซต์รวมข้อมูลธุรกิจต่างๆ (คล้าย Yello Pages) ขึ้นเมื่อปี 1995 โดย Musk เป็นซีอีโอ แต่บอร์ดบริหารมองอนาคตแล้วเห็นว่า บริษัทเป็นของ Musk ก็จริง แต่ก็ไม่ควรให้เขาดำรงตำแหน่ง เพราะไม่มีประสบการณ์การเป็นซีอีโอ คนอื่นเป็นจะเหมาะกว่า Musk อยากเป็นแต่ไม่มีใครยอมรับก็ต้องสละเก้าอี้ โดยเขาก็ยังถือหุ้นอยู่
แล้วในที่สุดกิจการ Zip2 ก็ถูกขายต่อให้ Compaq ด้วยมูลค่า 341 ล้านดอลลาร์ Musk ได้ส่วนแบ่ง 7% คิดเป็น 22 ล้านดอลลาร์ เขาจึงได้เป็นเศรษฐีตอนอายุ 28 ปี
Elon-Musk_PayPal
ภาพจาก Boombeat.com
4. ไม่ลงรอยกับ CTO ก็ต้องออก!
ในปี 1999 Musk ร่วมก่อตั้ง X.com ธนาคารออนไลน์ขึ้น เพราะเห็นว่าการโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ตน่าจะเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต โดยนำเงินจากการขาย Zip2 10 ล้านดอลลาร์มาตั้งบริษัท ผ่านไป 1 ปี ก็ซื้อบริษัท Confinity ซึ่งเป็นเจ้าของบริการโอนเงินที่มีชื่อว่า PayPal มาควบรวมกับ X.com จากนั้น Musk กับผู้ร่วมก่อตั้งก็โฟกัสที่ PayPal และมุ่งให้บริการจ่าย/โอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ตทั่วโลกโดยสร้างชื่อ PayPal ขึ้นมา
เดือนเมษายน ปี 2000 Musk ได้รับการแต่งตั้งเป็นซีอีโอบริษัท PayPal แต่ต่อมามีปัญหาถกเถียงอย่างหนักกับ Max Levchin, CTO บริษัท เกี่ยวกับระบบปฏิบัติการว่าจะใช้ Windows หรือ Unix ความไม่ลงรอยนี้เองที่ทำให้ Musk ถูกปลดออกจากตำแหน่งซีอีโอในระหว่างที่เขาไปฮันนีมูนซะด้วย
หลังจากนั้น PayPal ก็ถูก eBay ซื้อกิจการในปี 2002 ในราคา 1.5 พันล้านดอลลาร์ โดย Musk ได้เงิน 165 ล้านดอลลาร์จากการปันผลหุ้น eBay
5. พักร้อนแต่กลายเป็นพักรักษาตัว
ขณะที่พักร้อนในแอฟริกาใต้ Musk พบกับประสบการณ์เฉียดตายเพราะป่วยเป็นโรค Cerebral Malaria (ไข้มาลาเรียขึ้นสมอง) จากการติดเชื้อ Plasmodium falciparum ซึ่งทำให้มีโอกาสเสียชีวิตถึง 20% แม้ว่าจะได้รับการรักษาแล้ว และโรคนี้ก็ทำให้ Musk ต้องพักรักษาตัวยาวถึง 6 เดือน น้ำหนักหายไปถึง 45 ปอนด์
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ Musk ไม่อยากจะพลาดอะไรอีก จึงเปลี่ยนมาโฟกัสในเรื่องที่อยากจะทำและเรื่องพลังงาน ซึ่ง Musk เคยพูดติดตลกถึงเรื่องที่ป่วยหนักไว้ว่า “นั่นเป็นบทเรียนของผมจากการพักร้อน : พักร้อนอาจจะฆ่าคุณได้”
6. เรื่องเศร้าเกี่ยวกับลูกที่ไม่อยากพูดถึง
ใครจะรู้ว่า Musk เสียลูกคนแรก Nevada Alexander ในเดือนพฤษภาคม ปี 2002 ซึ่งเป็นลูกชายที่เกิดกับ Justine Wilson โดย Alexander ป่วยเป็นโรค Sudden Infant Death Syndrome (โรคไหลตายในทารก) ขณะที่มีอายุเพียง 10 สัปดาห์
ความเศร้าเสียใจครั้งนี้ทำให้ Musk ไม่พูดถึงลูกคนแรกอีกเลย
7. บินไปเสนองานแต่โดนปัดตก
ปี 2001 Musk มีคอนเซ็ปต์ ‘Mars Oasis’ โปรเจกต์ที่จะสร้างอาณานิคมบนดาวอังคาร เขากับทีมงานจึงเดินทางไปยังรัสเซียเพื่อหา Inter-Continental Ballistic Missiles (ขีปนาวุธข้ามประเทศ) ซึ่งเขาจินตนาการไว้ว่าอยากสร้างจรวดที่จะ Transport สิ่งของและพาคนออกไปท่องโลก ไปอยู่ที่ดาวอังคาร
แต่เมื่อเขาบินไปเสนอโปรเจกต์กับ 2-3 บริษัทในรัสเซีย Musk ก็ถูกปฏิเสธจากทุกที่ ผ่านไป 6 เดือน Musk เดินทางกลับไปยังรัสเซียอีกครั้งเพื่อเสนอโปรเจกต์เดิม แต่ครั้งนี้ Musk กับทีมได้รับข้อเสนอว่า มีค่าใช้จ่ายในการยิงจรวด 1 ลำ 8 ล้านดอลลาร์ แต่ Musk มองว่าแพงเกินไป ดีลจึงไม่เกิด
และในระหว่างไฟลท์กลับจากมอสโควนั้นเอง Musk ก็คิดว่าจะสร้างบริษัทใหม่ที่ทำให้การเดินทางด้วยจรวดอยู่ในงบประมาณที่มีคน Affordable ได้ จึงก่อตั้งบริษัท SpaceX ขึ้น
SpaceX
8. ทำโปรเจกต์ SpaceX พังซ้ำๆ
เดือนมิถุนายน 2002 Musk ก่อตั้ง SpaceX ธุรกิจขนส่งทางอวกาศ เขาลงทุนกับ SpaceX มหาศาลด้วยเงินที่ได้จากการขาย PayPal ซึ่งการปล่อยจรวดส่งยานอวกาศ 3 ครั้งแรกนั้นล้มเหลวเพราะจรวดกลับสู่โลกแล้วระเบิด นักลงทุนจำนวนมากเริ่มไม่เชื่อในตัว Musk ขณะนั้นบริษัทก็มีทุนเหลือให้ Musk ปล่อยจรวดได้อีกเพียงครั้งเดียว ยิ่งสถานภาพบริษัทเกือบเข้าสู่สภาวะล้มละลาย ยิ่งทำให้ Musk เครียดหนัก แต่โชคก็เข้าข้างเขา ผลของการเรียนรู้และพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งทำให้การปล่อยจรวดครั้งที่ 4 กลับมาลงจอดได้ เกิดเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ SpaceX จึงได้รับความสนใจจาก NASA และ NASA ขอเซ็นสัญญาด้วยเงิน 1.6 พันล้านดอลลาร์ SpaceX จึงได้เงินมาต่อธุรกิจ ความสำเร็จในการสร้างนวัตกรรมขึ้นเองทำให้บริษัทสามารถส่งจรวดที่มีค่าใช้จ่ายเพียง 1 ใน 3 ส่วนเมื่อเทียบกับราคาของบริษัทอื่น ซึ่งต่อมา Musk ยังสร้าง Reusable Rockets (จรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่) ได้สำเร็จ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการเดินทางไปอวกาศได้หลายร้อยเท่า
ขอบคุณ แหล่งข้อมูล https://techsauce.co