บรรดาผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาวิชาดังกล่าว ยังคัดค้านข้อเสนอเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เป็นพิเศษด้วย โดยชี้ว่าเป็นมาตรการที่เสี่ยงเกินไป และอาจทำให้มีผู้ล้มป่วยและเสียชีวิตนับล้านคน ซึ่งเกินกำลังที่สำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) จะรับมือไหว
แม้นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้จะไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าทางระบาดวิทยารวมอยู่ด้วย แต่พวกเขายืนยันว่าการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมและเป็นไปได้ในขณะนี้ แต่มาตรการกักกันโรคและแยกตัวเว้นระยะห่างจากสังคม (social distancing) ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น จะช่วยชะลออัตราการแพร่ระบาดได้ดีกว่าและจะรักษาชีวิตผู้คนไว้ได้นับหมื่นราย
ภูมิคุ้มกันหมู่คืออะไร
ภูมิคุ้มกันหมู่คือภาวะที่ประชากรส่วนมากของสังคมมีภูมิคุ้มกันโรค โดยคิดเป็นสัดส่วนจำนวนคนที่สูงมากพอ จนช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคตได้ ไม่ว่าภูมิคุ้มกันหมู่นั้นจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อหายจากโรค หรือเกิดจากการรณรงค์ฉีดวัคซีนครั้งใหญ่ก็ตาม
เมื่อชุมชนแห่งใดมีภูมิคุ้มกันหมู่เกิดขึ้น สมาชิกส่วนหนึ่งที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันหรือร่างกายอ่อนแอจนไม่มีภูมิคุ้มกันโรค ก็จะได้รับประโยชน์จากการปกป้องรวมหมู่นี้โดยอัตโนมัติ เพราะพาหะที่นำเชื้อโรคจากภายนอกเข้ามา จะไม่สามารถส่งต่อเชื้อนั้นให้กับคนอื่น ๆ เป็นจำนวนมากจนเกิดการระบาดขึ้นได้
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” คือ กลุ่มประชากรในประเทศมีจำนวนมากที่มีระดับภูมิคุ้มกันต่อโคโรนาไวรัส ไม่ว่าจะมาจากการหายจากการติดเชื้อหรือจากการเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19
แต่ไม่จำเป็นต้องแปลว่าทุกคนต้องฉีดวัคซีนหมด
เพราะนายแพทย์ผู้รู้บอกว่า ภูมิคุ้มกันหมู่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้รับการป้องกันจากการติดไวรัส แต่หมายถึงระดับภูมิคุ้มกันในประชากรที่มากพอที่จะทำให้โคโรนาไวรัสไม่มีโอกาสที่จะแพร่ระบาดไปได้ง่ายอย่างที่เคยเป็นอีก
อีกทั้งยังช่วยปกป้องกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิดได้ในวันข้างหน้า
ตามหลักการแพทย์แล้ว ใครที่ได้รับเชื้อโควิดเข้าไป (หรือได้รับวัคซีนต้านโควิด) ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานไวรัสนี้ขึ้นมาโดยธรรมชาติ
ผู้รู้เชื่อว่าจำนวนคนที่จะต้องมีระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายเพื่อให้ทั้งประเทศปลอดภัยจากการระบาด ต้องอยู่ที่ระดับ 70% ของประชากร
หรือไม่ก็มากกว่านั้นจึงจะเรียกว่าได้บรรลุเป้าหมายของการสร้าง ”ภูมิคุ้มกันหมู่” ได้แล้ว
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าไวรัสไม่ได้อยู่เฉยๆ มันสามารถจะเปลี่ยนแปลง พัฒนา และกลายพันธุ์ได้ตลอดเวลา เพราะธรรมชาติเป็นเช่นนั้น
ข่าวที่ออกมาจากหลายประเทศบอกว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีความกังวล เพราะโควิด “กลายพันธุ์” ชนิดที่พบในอังกฤษ แอฟริกาใต้ และบราซิล กำลังท้าทายความรู้ความสามารถของหมอและนักวิจัยทั่วโลก
มีคำถามอีกว่า จะคำนวณสัดส่วนประชากรที่ต้องได้รับภูมิคุ้มกันอย่างไร?
ผู้รู้บอกว่า ไม่มีตัวเลขที่ตายตัวสำหรับสัดส่วนประชากรที่ต้องมีภูมิคุ้มกัน
จึงไม่เป็นความจริงที่ว่า ถ้าอยู่ที่ 64.9% จะต่ำกว่ามาตรฐาน
หรือถ้าอยู่ที่ 70.1% ถือว่าเป็นระดับที่ยอดเยี่ยมอย่างที่เป็นข่าวมาระยะหนึ่ง
เอาเข้าจริงๆ แล้วทั้งหมดนี้ขึ้นกับปัจจัยของแต่ละพื้นที่ ซึ่งแตกต่างกันอยู่แล้วเป็นธรรมดา
ถ้าอย่างนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราถึงระดับภูมิคุ้มกันหมู่ที่เหมาะสมแล้ว?
คนที่รู้เรื่องดีและได้ผ่านประสบการณ์มาพอสมควรบอกว่า ตัวบ่งชี้ว่าเรามาถึงจุดนั้นก็คือ เมื่อระดับการติดเชื้อโควิดรายใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อีกทั้งจำนวนผู้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากโควิด-19 น้อยลงไปมาก
แต่ก็ต้องแยกแยะวิเคราะห์ให้ถูก เพราะตัวเลขที่ว่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันในแต่ละประเทศหรือเขตต่างๆ ของโลก
มีการยกตัวอย่างของอินเดีย
นักวิทยาศาสตร์ที่นั่นเชื่อว่า ผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการป้องกันโควิด ควรเป็นผู้คนที่อาศัยหรือทำงานในเมืองใหญ่มากกว่าคนในพื้นที่ชนบท เพราะคนในเมืองอยู่กันอย่างแออัดยัดเยียดมากกว่า
เพราะเขาเชื่อว่าไวรัสระบาดได้ง่ายและรวดเร็วในพื้นที่ประชากรหนาแน่น
ด้วยเหตุนี้ อินเดียจึงต้องเร่งสืบหาตัวเลขที่แท้จริงของผู้ที่หายจากโควิด-19 จากประชาชนทั้งหมด 1,400 ล้านคนทั่วประเทศ
ขอบคุณข้อมูล https://www.bbc.com/