เครื่องวัดสี Colorimeter
เป็นอุปกรณ์วัดค่าสี ที่ใช้แทนสายตามนุษย์ โดยใช้หลักการสเปกโตรโฟโตมิเตอร์ ซึ่งระบบการวัดสี มีอยู่หลายระบบด้วยกัน คือ ระบบ Munsell, ระบบ Tristimulus Value, ระบบ Chromaticity coordinate และระบบ CIE L*a*b* โดย เครื่องวัดสี WF Series ใช้ระบบ CIE L*a*b* ทั้งนี้ เครื่องวัดสี WF Series ยังมีฟังก์ชั่นตรวจสอบค่าความแตกต่างสี ที่เรียกว่า เพื่อควบคุมคุณภาพสินค้าให้มีค่าสีตรงตามมาตรฐานที่ต้องการ
เครื่องวัดสี WF Series เหมาะกับงานลักษณะใดบ้าง
- วัดพื้นผิวต่างๆ เช่น รถยนต์ ผิวผลไม้ พื้น ชิ้นงานพลาสติก เป็นต้น (ต้องเป็นพื้นผิวเรียบ ไม่ขรุขระ ไม่มีลวดลาย)
- ของเหลว เช่น สีน้ำ น้ำผลไม้ เครื่องดื่มต่างๆ เป็นต้น (ต้องไม่ใช่ของเหลวใส)
- ผง เช่น แป้ง ผงสี เป็นต้น
อุปกรณ์เสริม
- อุปกรณ์เสริมสำหรับวัดของเหลว
- อุปกรณ์เสริมสำหรับวัดผง
- เครื่องพิมพ์
การวัดสี ( Color Measurement )
สีคือคุณสมบัติเชิงแสงที่บ่งบอกลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และถูกนำมาเป็นตัวแปรหนึ่งในการกำหนดมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ หลายโรงงานอุคสาหกรรมประสบปัญหาการควบคุมคุณภาพของสีจากกระบวนการตรวจวัดสีด้วยสายตาจากคนธรรมดา ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนสูงเกิดจากหลากหลายปัจจัยเช่น แหล่งกำเนิดแสง สายตาบุคคล เป็นต้น
การมองเห็นสี ของมนุษย์นั้นเกิดจากการที่แสงตกกระทบบนวัตถุ วัตถุจะดูดกลืนแสงสีอื่นๆ และสะท้อนแสงของสีของวัตถุนั้นออกมา เข้าสู่ดวงตาของมนุษย์ ผ่านจอตา หรือฉากตา (Ratina) อยู่ด้านหลังแก้วตา มัลักษณะเป็นผนังที่ประกอบด้วยใยประสาทซึ่งไวต่อแสง เซลล์ของประสาทเหล่านี้ทำหน้าทั่เป็น จอรับภาพตามที่เป็นแล้วส่งความรู้สึกผ่านเส้นประสาทตา ซึ่งทอดทะลุออกทาง เป็นเยื่อชั้นในสุด ทำหน้าที่เป็นจอรับภาพ จอตาประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือเซลล์รูปแท่ง (Rod cell) กับเซลล์รูปกรวย (Cone cell)
การทำงานของเซลล์รูปแท่ง เซลล์รูปแท่งทำหน้าที่รับแสงทำให้มองเห็นรูปร่างของวัตถุต่างๆ ได้
การทำงานของเซลล์รูปกรวย เซลล์รูปกรวยทำหน้าที่รับสีทำให้มองเห็นวัตถุมีสีต่างๆ ประกอบไปด้วย เซลล์ 3 ชนิด คือเซลล์ที่ไวต่อแสงสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน เมื่อได้รับแสง เซลล์รับแสงทั้งสามจะ ถูกกระตุ้นในอัตราส่วนที่ต่างกัน ขึ้นกับสีและความเข้มของแสงที่ตกกระทบ จากนั้นสมองก็จะแปลสัญญาณเป็นสีต่างๆ ขึ้นมา
หนึ่งในองกรณ์สำคัญที่กำหนดหน่วยการวัดสีให้เป็นมาตรฐาน คือ International Commission on Illumination แต่ตัวย่อมักจะเป็นภาษาฝรั่งเศษ Commission International de l’Eclairage (CIE) เพื่อลดความคลาดเคลื่อนในการตรวจวัดสีเนื่องจากสายตาและแหล่งกำเนิดแสง องกรณ์ CIE ได้กำหนดหน่วยวัดสีมีสัญลักษณ์ L*-a*-b* โดยทั้ง 3 ตัวแปลมีรายละอียด ดังนี้
– แกน L* บ่งบอกถึง ความสว่าง (lightness) มี ค่าตั้งแต่ 0-100 โดย 0 คือ สีดำ และ 100 คือ สีขาว
ในส่วนของค่าความแตกต่างของสีนั้นทาง CIE ได้กำหนดสัญลักษณ์เป็น △E โดยมีสมการดังต่อไปนี้
โดยที่ หมายเลข 1 คือ สีทดสอบที่ 1 หมายเลข 2 คือสีทดสอบที่ 2
ยกตัวอย่างเช่น สีทดสอบที่ 1 อ่านค่าจาก Colorimeter ได้ L* = 50 ,a=50 , b=50
สีทดสอบที่ 2 อ่านค่าจาก Colorimeter ได้ L* = 52 ,a=51 , b=52
เมื่อนำเข้าสมการจะได้ △E = √(50-52)2+(50-51)2+(50-52)2= 3
เป็นที่รู้กันว่าแหล่งกำเนิดแสงเป็นตัวแปรสำคัญหนึ่งในการตรวจวัดสีและการมองเห็นสี ดังนั้น CIE จึงจำแนกแหล่งกำเนิดแสงดังต่อไปนี้
– Illuminant B เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่ได้จาก หลอดไฟแบบ Illuminant A ที่ผ่านตัวกรองแสง แล้วให้แสงที่มีอุณหภูมิสี 4,900 เคลวิน
– Illuminant C เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่ได้จาก หลอดแบบ Illuminant A ที่ผ่านตัวกรองแสง แล้วให้แสงที่มีอุณหภูมิสี 6,700 เคลวิน
– Illuminant D เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่ใช้ แทนแสงแดดตอนกลางวัน แต่อุณหภูมิสีต่างกัน เช่น
D65 เป็นแสงแดดตอนกลางวันที่มีอุณหภูมิ 6,500 เคลวิน
-ขอบคุณ แหล่งข้อมูล https://www.scilution.co.th/colorimeter
https://www.ptallinstrument.com/