บริษัทเล็กๆแล้วเอาเงินทุนมาจากไหน
แน่นอนว่ามันเป็นการเปิดบริษัท แล้วจะเอาเงินทุนมามากมายขนาดนั้นได้อย่างไร คำตอบอยู่ที่นักลงทุน คือ ธุรกิจ Startup นั้นจะมีประเพณีในการระดมทุน
จากนักลงทุนทั่วโลกโดยการขายไอเดียของธุรกิจเรา ซึ่งถ้ามันเจ๋งและนักลงทุนเห็นว่ามันสามารถเปลี่ยนโลกได้ เขาจะให้เงินทุนเรามาลงทุนเพื่อผลิตสินค้านั้นๆออกมาสู่ตลาด และออกมาเพื่อเปลี่ยนโลกนั่นเอง แต่นักลงทุนใช่ว่าจะให้เราฟรีๆนะ เขาเองก็มีสิทธิจากส่วนแบ่งรายได้ในอนาคตของเรานั่นเอง เรียกว่าเป็นการลงทุนแห่งอนาคตจริงๆแต่นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเลยที่คิดถูกกับหลากหลายไอเดีย Startup ที่ผุดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งนักลงทุนมีด้วยกันอยู่ 2 ประเภท
- นักลงทุนแบบ Angel Investor คือนักลงทุนที่ยอมควักเงินทุนให้นักขายไอเดียตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น เพราะเห็นว่าไอเดียพวกนี้จะก่อเกิดมูลค่ามหาศาล เพื่อให้นักขายไอเดียนั้นไปทำผลิตภัณฑ์ที่เขาขายนั้นเกิดขึ้นได้จริง ใช้ได้จริง ทำประโยชน์สูงสุดได้จริง สิ่งที่ต้องมีคือพวกเขาต้องมีความกล้าเสี่ยงและมีสายตาอันหลักแหลมในการมองทิศทาง ทางธุรกิจมาก ส่วนสำหรับนักขายไอเดียนั้นต้องการนักลงทุนแบบนี้ที่สุดที่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เขาทำนั่นเอง
- นักลงทุนแบบ Venture capital คือนักลงทุนระดับเสี่ย ที่สามารถทุ่มเงินลงทุนได้ในระดับเป็นร้อยล้านเลยทีเดียว ซึ่งนั่นแปลว่าเขาจะไม่ค่อยลงทุนกับผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงมากนักอย่างน้อยก็พอเห็นลู่ทางแห่งความสำเร็จบ้างถึงจะหว่านเม็ดเงินลงไป จึงมักไม่ค่อยลงทุนกับผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในจุดเริ่มต้นสักเท่าไหร่นักโดยการลงทุนแบบนี้ก็ถือว่ามีความเสี่ยงอยู่เหมือนกันและต้องมีเงินทุนสูงมาก
Startup คืออะไร?
ตัวอย่าง Facebook, Google
ลองนึกภาพในหนัง The Social Network ตอนที่ Peter Thiel ลงเงินใน Facebook แล้วได้ถือหุ้นดูนะครับ จะทำให้เห็นภาพมากขึ้น อย่างตอนนี้ Facebook ก็กำลังจะเข้าตลาดหุ้นแล้ว เงินที่ Peter ลงไปไม่กี่แสนเหรียญในตอนแรก ตอนนี้กำลังจะหลายเป็นหลักหลายพันล้านเหรียญ กำไรมหาศาลหลายร้อยหลายพันเท่าเลยใช่ไหมล่ะครับ หรือลองดูตัวอย่าง Google ซึ่งขณะนี้ Larry Page กับ Sergey Brin ผู้ก่อตั้งทั้งสองคนกลายเป็นเศรษฐีพันล้านหมื่นล้านไปแล้วก็เพราะ Search Engine ที่ทั้งสองคนร่วมสร้างขึ้นมานั้นถูกใจคนทั้งโลก และทั้งสองคนหารายได้จากการโฆษณาบนการค้นหาของคนนั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตามเป็นที่รู้กันว่า startup นั้นมีความเสี่ยงสูงมาก ไม่ใช่ทุกบริษัทจะทำได้แบบ Google ว่ากันว่า 90-95% ของบริษัทแนวนี้ล้มเหลว มีไม่กี่บริษัทนักหรอกที่จะประสบความสำเร็จ มุ่งหน้าสร้างความเติบโตให้ธุรกิจเพื่อที่จะได้กำไรมากขึ้น หรือเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วยการปล่อย IPO หรือแม้กระทั่งขายกิจการให้รายใหญ่ไป
ถ้าแล้วอย่างนั้นทำไมถึงมีคนที่อยากสู้ อยากลอง เกิดใหม่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน?
ส่วนหนึ่งมันเกิดขึ้นมาจากกระแสความคลั่งไคล้ในเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต คิดว่าพวกเราคงจำยุคปลายทศวรรษที่ 90 ที่เรียกกว่า “ฟองสบู่ดอตคอม” กันได้นะครับ ตอนนั้นที่อเมริกาโดยเฉพาะบริเวณ Silicon Valley ทางตอนเหนือของรัฐ California มีบริษัทมากหน้าหลายตาพากันสร้างสรรค์นวัตกรรมขึ้นมา Netscape สร้างบราวเซอร์ให้คนเข้าถึงอินเทอร์เน็ต Amazon ทำเว็บอีคอมเมิร์ซ Google ทำ Search Engine Facebook ทำ Social Network Instagram ทำแอพพลิเคชั่นแนว Social Network ฯลฯ บริษัทเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เปลี่ยนแปลงโลกอย่างถอนรากถอนโคน พวกเขาเปลี่ยนวิถีชีวิตคนมากมาย คนเคยต้องเดินเข้าไปห้องสมุดเพื่อหาข้อมูล สมัยนี้เพียงแค่ไม่กี่คลิกก็ได้ข้อมูล คนเคยต้องซื้อของจากร้านจริง เดี๋ยวนี้สั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ตส่งให้ถึงบ้าน
และด้วยการที่มันสนุก และน่าลุ้นน่าลอง การทำ startup จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายคนรุ่นใหม่อยู่ตลอดทุกยุคทุกสมัย เราจึงเห็นฝรั่งเขาจะมีการสร้างบริษัท startup ขึ้นมาโดยผู้ก่อตั้ง (founder) จะมีไอเดียเจ๋งๆ รวมตัวกันทำบริษัทในโรงรถกันมากมาย จนต่อมามักจะไปเจอนักลงทุนทั้งที่เป็นแบบ Venture capital และแบบ Angel investor ที่จะช่วยลงเงินทำให้บริษัทมีเงินมาจ้างคนเพิ่มและดำเนินกิจการไปได้ต่อ โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นการเอาสัดส่วนหุ้นแลกกับเงินลงทุน
ถ้านิยามโดยทั่วไปก็มีแค่นี้ครับ ไม่น่าจะมีอะไรไปกว่านี้
แต่การที่จะสร้างบริษัท startup ให้ประสบความสำเร็จแบบ Silicon Valley ทำได้นั้นทำกันอย่างไร เรามีของแถมให้ครับ นั่นก็คือ การที่ startup ตั้งอยู่ใน Silicon Valley อันเป็นแหล่งสถานที่ที่มีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ในนิเวศวิทยาของมัน 3 อย่างคือ บุคลากร เงินทุน และวัฒนธรรมความเป็นเจ้าของกิจการ และความคิดสร้างสรรค์ ถ้าสนใจอ่านกันต่อเลย
1.บุคลากร ใน Silicon Valley อุตสาหกรรมดิจิตอลเทคโนโลยีจะขับเคลื่อนไปได้ ต้องอาศัยบุคลากรที่มีความสามารถ ที่นี่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชื่อดังหลายต่อหลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็คือ Stanford ที่ผู้ก่อตั้งบริษัทดังๆ ก็จบจากที่นี่ อย่าง Jerry Yang, David Filo แห่ง Yahoo! และ Sergey Brin, Larry Page แห่ง Google เรียกได้ว่านอกจากเป็นแหล่งผลิตบุคลากรชั้นดีแล้ว ก็ยังสามารถ รับสมัครพนักงานเก่งๆ รุ่นใหม่ได้จากที่นี่โดยตรงอีกด้วย
2.เงินทุน บรรดาคนทำงานด้านดอตคอมทุกคนจะรู้จักถนน Sandhill ที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งรวมของบริษัท Venture Capital หรือที่ เรียกกันสั้นๆ ว่า VC ใครที่มีไอเดียใหม่ๆ ใครที่อยากได้คำแนะนำดีๆ อยากได้เงินนำไปลงทุน ก็มาคุยกับ VC อย่าง Kleiner Perkins ที่นี่ได้ หรือเลยออกไปทาง Menlo Park ก็จะมี Sequoia Capital ลองไปเสิร์ชกันดูนะครับว่าบริษัทเหล่านี้ลงทุนกับบริษัทดอตคอมอะไรกันบ้าง แต่ทั้งนี้ระบบ VC นั้นในเมืองไทยได้ยินมาว่าเริ่มมีบริษัทต่างชาติเริ่ม เดินสายเข้าไปบ้างแล้ว แต่ถ้าไม่มีหาไม่เจอเราก็ออกไปหาจากเมืองนอกใกล้ๆ บ้านเราได้ครับ เห็นว่ามาลงกันที่สิงคโปร์เยอะ
3.วัฒนธรรมความเป็นเจ้าของกิจการและความคิดสร้างสรรค์ ด้วยความโด่งดังและความสำเร็จของ Silicon Valley มาหลาย ยุคหลายสมัย ทำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกฝันอยากจะสร้าง Silicon Valley ในประเทศของตัวเองบ้าง เช่น บังกาลอร์ ที่อินเดีย ไซบีเรียที่รัสเซีย จงกวนชุน ที่เมืองจีน หรือในประเทศไทยเองก็เห็นว่า เราพยายามผลักดันภูเก็ต ให้เติบโตอย่างนั้นบ้าง แต่ก็ยังไม่เห็นคืบหน้าเท่าไหร่
ขอบคุณแหล่งข้อมูล https://techsauce.co/tech-and-biz/startup