จำนวนเชิงซ้อน (อังกฤษ : complex number) ในทางคณิตศาสตร์ คือ เซตที่ต่อเติมจากเซตของจำนวนจริงโดยเพิ่มจำนวน ซึ่งทำให้สมการ เป็นจริง และหลังจากนั้นเพิ่มสมาชิกตัวอื่น ๆ เข้าไปจนกระทั่งเซตที่ได้ใหม่มีสมบัติการปิดภายใต้การบวกและการคูณ จำนวนเชิงซ้อน ทุกตัวสามารถเขียนอยู่ในรูป โดยที่ และ เป็นจำนวนจริง โดยเราเรียก และ ว่าส่วนจริง(real part) และส่วนจินตภาพ (imaginary part) ของ ตามลำดับ
นอกจากนี้ ในทางคณิตศาสตร์แล้วคำว่า “เชิงซ้อน” ถูกใช้เป็นคำคุณศัพท์ที่มีความหมายว่าฟีลด์ของตัวเลขที่เราสนใจคือฟีลด์ของจำนวนเชิงซ้อน ยกตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์เชิงซ้อน, พหุนามเชิงซ้อน, แมทริกซ์เชิงซ้อน, และพีชคณิตลีเชิงซ้อน เป็นต้น
ระบบจำนวนที่เรารู้จักกันและได้เรียนรู้ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 คือระบบจำนวนจริง(Real Number) แต่ระบบ
จำนวนจริงยังไม่สามารถตอบคำถามบางข้อได้เช่นถ้าเราต้องการแก้สมการพหุนาม
x2+1=0x2+1=0
x2=−1x2=−1
ซึ่งเราจะเห็นว่าไม่มีจำนวนจริงใดเลยที่ยกกำลังสองแล้วมีค่าเป็นลบหนึ่ง
ดังนั้นนักคณิตศาสตร์จึงแก้ปัญหานี้โดยสร้างระบบจำนวนขึ้นอีกระบบคือ ระบบจำนวนเชิงซ้อน ซึ่งเราจะได้เรียนรู้กันในชั้น ม.5 นี้
สิ่งแรกที่เราต้องรู้เกี่ยวกับจำนวนเชิงซ้อนคือ นิยามของจำนวนเชิงซ้อน มาดูนิยามกันเลยคับ
นิยาม จำนวนเชิงซ้อน คือ คู่อันดับ (a,b) เมื่อ a และ b นั้นเป็นสมาชิกของจำนวนจริงซึ่งการบวก การคูณและการเท่ากันของจำนวนเชิงซ้อนนั้นกำหนดดังนี้
กำหนดให้ a,b,c,d เป็นจำนวนจริงใดๆ
1)(a,b)=(c,d)(a,b)=(c,d) ก็ต่อเมื่อ a=ca=c และ b=db=d
2)(a,b)+(c,d)=(a+c,b+d)(a,b)+(c,d)=(a+c,b+d)
3)(a,b)⋅(c,d)=(ac−bd,ad+bc)(a,b)⋅(c,d)=(ac−bd,ad+bc)
นี่คือนิยามเกี่ยวกับจำนวนเชิงซ้อน และข้อกำหนดเกี่ยวกับการคูณการบวก การเท่ากันของจำนวนเชิงซ้อนซึ่งเราจำเป็นต้องจำให้ได้
ตัวอย่าง กำหนดจำนวนเชิงซ้อน z1=(4,3) และ z2=(2,5)z1=(4,3) และ z2=(2,5) จงหา z1+z2,z1⋅z2z1+z2,z1⋅z2
วิธีทำ การทำข้อนี้ก็ทำตามข้อกำหนดในนิยามเลยคับ
z1+z2=(4,3)+(2,5)=(4+2,3+5)=(6,8)z1+z2=(4,3)+(2,5)=(4+2,3+5)=(6,8)
z1⋅z2z1⋅z2
เริ่มหากันเลยคูณกันตามนิยามเลยครับ
นี่คือการบวกและการคูณกันของจำนวนเชิงซ้อนซึ่งไม่ยากทำตามนิยามได้เลยคับ
ต่อไปมาดูนิยามเพิ่มเติมของจำนวนเชิงซ้อน
นิยามของจำนวนเชิงซ้อน
นิยาม กำหนดจำนวนเชิงซ้อน z=(a,b) เมื่อ a,b เป็นจำนวนจริง
เรียน a ว่าส่วนจริง(real part) เขียนแทนด้วย Re(z)
เรียก b ว่าส่วนจินตภาพ (imaginary part) เขียนแทนด้วย Im(z)
1. จำนวนเชิงซ้อน คือ คู่อันดับ (a,b) เมื่อ a และ b นั้นเป็นสมาชิกของจำนวนจริงซึ่งการบวก การคูณและการเท่ากันของจำนวนเชิงซ้อนนั้นกำหนดดังนี้
กำหนดให้ a,b,c,d เป็นจำนวนจริงใดๆ
1) (a,b)=(c,d)(a,b)=(c,d) ก็ต่อเมื่อ a=ca=c และ b=db=d
2) (a,b)+(c,d)=(a+c,b+d)(a,b)+(c,d)=(a+c,b+d)
3) (a,b)⋅(c,d)=(ac−bd,ad+bc)(a,b)⋅(c,d)=(ac−bd,ad+bc)
2. กำหนดจำนวนเชิงซ้อน z=(a,b) เมื่อ a,b เป็นจำนวนจริง
เรียก a ว่าส่วนจริง (real part) เขียนแทนด้วย Re(z)
เรียก b ว่าส่วนจินตภาพ (imaginary part) เขียนแทนด้วย Im(z)
หมายเหตุ : เนื่องจากจำนวนเชิงซ้อนใด ๆ ที่อยู่ในรูปคู่อันดับ (a,b)(a,b) สามารถเขียนให้อยู่ในรูปของ a+bia+bi ได้ ดังนั้น จึงนิยมเขียนจำนวนเชิงซ้อนให้อยู่ในรูปของ a+bi เพราะสะดวกในการนำไปใช้มากกว่า โดย
เรียก aa ว่า ส่วนจริง (Real part)
เรียก bb ว่า ส่วนจินตภาพ (Imaginary part)
ส่วนการบวก การลบ การคูณ ของจำนวนเชิงซ้อนที่อยู่ในรูปของ a+bia+bi ก็จะเหมือนกับการบวก ลบ คูณหารพหุนามทั่วไป
ตัวอย่าง กำหนดจำนวนเชิงซ้อน z1=(2,−4)
จงหาz1=(2,−4)
จงหา Re(z1)Re(z1) และ Im(z1)Im(z1)
วิธีทำ ง่ายๆเลยคับตามนิยามข้างบนน่ะ
Re(z1)=2Re(z1)=2
Im(z1)=−4Im(z1)=−4
เนื่องจาก จำนวนเชิงซ้อนใดๆที่อยู่ในรูปคู่อันดับ (a,b)(a,b) สามารถเขียนให้อยู่ในรูปของ a+bia+bi ได้ ดังนั้นเขาจึงนิยมเขียนจำนวนเชิงซ้อนให้อยู่ในรูปของ a+bi เพราะสะดวกในการนำไปใช้มากกว่าครับ ตัวอย่างเช่น
(2,4)(2,4) มันก็คือ 2+4i2+4i
(−3,9)(−3,9) มันก็คือ −3+9i−3+9i
(−8,−2)(−8,−2) มันก็คือ −8−2i−8−2i นั่นเองครับ
ต่ออีกนิดหนึ่งจำนวนเชิงซ้อนเขียนให้อยู่ในรูป a+bia+bi
จะเรียก aa ว่าส่วนจริง (Real part)
จะเรียก bb ว่าส่วนจินตภาพ(Imaginary part)
ตัวอย่าง กำหนดจำนวนเชิงซ้อน z=7+9iz=7+9i จงหา
1. Re(z)Re(z) [หมายถึงส่วนจริงของจำนวนเชิงซ้อน z]
2. Im(z)Im(z) [หมายถึงส่วนจินตภาพของจำนวนเชิงซ้อน z]
วิธีทำ ข้อนี้ง่ายๆเลยครับ
จาก z=7+9iz=7+9i จะได้
Re(z)=7Re(z)=7
Im(z)=9Im(z)=9
ส่วนการบวก การลบการคูณของจำนวนเชิงซ้อนที่อยู่ในรูปของ a+bia+bi ก็ทำเหมือนกับการบวก ลบ คูณหารพหุนามทั่วไปครับ เช่น
ตัวอย่าง กำหนด z1=2−4i,z2=4+6iz1=2−4i,z2=4+6i จงหา
1.1) จงหาค่า z1+z2
1.2) จงหาค่า z1⋅z2
อย่าลืมนะ i2=−1i2=−1
1.3) จงหาค่า z1−z2
z1−z2=(2−4i)−(4+6i)2−4i−4−6i2−4−4i−6i−2−10i
=(2−4i)−(4+6i)
=2−4i−4−6i
=2−4−4i−6
=−2−10i
รากที่สองของจำนวนเชิงซ้อน