อโกด้า (Agoda) คือ บริษัทผู้ให้บริการสำรองห้องพักทางออนไลน์ สำหรับโรงแรมในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกเป็นหลัก โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์และมีสำนักงานดำเนินการหลักอยู่ที่ กรุงเทพ กัวลาลัมเปอร์ โตเกียว ซิดนีย์ ฮ่องกง และบูดาเปสต์ นอกจากนี้ยังมีสำนักงานย่อยในเมืองใหญ่ทั่วเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปและอเมริกา
ประวัติจาก Startup เล็ก ๆ สู่ธุรกิจหมื่นล้านเหรียญ
โดย Agoda นั้นก่อตั้งปี 1998 โดยนายไมเคิล เคนนี่ (Michael Kenny) ภายใต้ชื่อแพลนเน็ต ฮอลิเดย์ ดอตคอม (PlanetHoliday.com) โดยมีแนวคิดเริ่มแรกในการใช้เสิร์ชเอนจิน เพื่อเติมเต็มช่องว่างทางด้านข้อมูลโรงแรมและการท่องเที่ยว และ เพื่อเป็นเว็บไซด์ต้นทางในการค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยว (Search Engine) รวมถึงรับจองโรงแรมออนไลน์อีกด้วย
ธุรกิจของ ไมเคิล โตเร็วมากๆ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรมสักแห่งเดียวเลยก็ตาม แต่เขาทำเงินได้มากจากการเป็นเอเจนซี่รับจองโรงแรมทั่วโลก
ปี 2002 สำนักงานของบริษัทได้ย้ายจากภูเก็ตมาที่กรุงเทพ และในปี 2005 บริษัทได้เพิ่ม พรีซิชั่น เรเซอร์เวชั่น ดอตคอม (PrecisionReservation.com) เข้ามา ในฐานะเว็บไซต์หุ้นส่วนเพื่อให้บริการจองโรงแรมผ่านเว็บไซต์ที่เป็นพันธมิตร
โดย Priceline วางแผนที่จะใช้ในการขยายสู่เอเชีย (ยกเว้นจีนและอินเดียที่ซึ่งต้องเผชิญกับคู่ปรับตัวฉกาจ) การเข้าซื้อกิจการ agoda ทำได้ในราคาถูก: โดย ไมเคิล เคนนี่ เจ้าของของอโกด้าได้รับเงินล่วงหน้า 16 ล้านดอลลาร์และอีก 142 ล้านดอลลาร์หากเขาบรรลุเป้าหมายบางอย่างภายหลังเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ
ปัจจุบัน อโกด้ามีพนักงานกว่า 2,000 คน และให้บริการสำรองห้องพักออนไลน์จากโรงแรมกว่า 250,000 แห่งทั่วโลกผ่านเว็บไซต์ที่มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ กัน 38 ภาษาซึ่งรวมถึงภาษาจีนกลาง จีนกวางตุ้ง ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น รัสเซีย เกาหลี และไทย
ซึ่งต่อมาสุดท้าย Priceline Group ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Booking Holdings และซื้อขายกันในตลาดหุ้น NASDAQ โดยใช้ชื่อย่อว่า BKNG มาจวบจนถึงปัจจุบันนั่นเองครับ
ปัจจุบันหุ้น BKNG ซื้อขายกันในราคา 2087 เหรียญ มีค่า P/E ที่ 44.86 เท่า , P/BV ที่ 7.48 เท่า และบริษัทยังไม่เคยจ่ายปันผล ถือว่าเทรดกันในราคาที่มีพรีเมี่ยมอยู่มาก แต่ถ้าดู Key Stat. อื่นๆก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักลงทุนถึงยอมเทรดกันในระดับ P/E สูงขนาดนี้ …
บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) สูงถึง 82.08% แสดงว่าบริษัทมีต้นทุนขายที่ต่ำมากอาจจะเป็นเพราะบริษัทไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรม ไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายปฏิบัติการ มีค่าเสื่อมราคาของโรงแรม มีต้นทุนการดูแลรักษา ทำให้ต้นทุนขายน้อยมาก แต่พอมาเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin)จะเหลืออยู่เพียง 18.46% แสดงว่าบริษัทมีต้นทุนค่าจ้างพนักงาน ที่สูงพอสมควร
คร่าวนี้เราลองมาเทียบกับเชนโรงแรมเบอร์ 1 ที่มีโรงแรมเกือบทั่วโลกอย่าง Accor กันบ้างครับ
เปรียบเทียบรายได้ Gross Margin และ Net Margin
Accor เป็นเชนโรงแรมที่มีทั้งตัวเองเป็นเจ้าของและรับจ้างบริหาร บริษัทมีค่า P/E ที่ 31.7 เท่า, P/BV ที่ 2.3 เท่า และอัตราการปันผลที่ 2.3%
บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) สูงถึง 35% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) ที่ 22.7%
จะเห็นได้ว่าทั้ง Agoda หรือ Booking Holdings เป็นบริษัทที่ไม่ธรรมดาเลย เขาไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพยากร แต่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของคนอื่นมาหารายได้ ไม่ใช่แค่ Agoda หรือ Booking เพียงอย่างเดียว ในปัจจุบันเราจะเห็น Start up มากมายพยายามมองหาความแปลกใหม่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น Airbnb ที่สามารถแบ่งห้องว่างมาทำเป็นโรงแรมขนาดเล็กเพื่อนักเดินทาง หรือแม้กระทั่งการทำตัวเองเป็นเว็บไซด์เอเจนซี่ที่เปรียบเทียบราคาของเอเจนซี่อีกทีหนึ่งอย่าง tripadvisor หรือ Hotelcombined สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นธุรกิจของคนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจมาก
เราเข้าสู่ยุคดิจิตอลอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ใช่แค่ Startup ที่ต้องมองหาอะไรใหม่ๆ แม้แต่ตัวนักลงทุนเองก็ต้องมองหาธีมการลงทุนใหม่ๆเช่นเดียวกันครับ
ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก
https://th.wikipedia.org/wiki/อโกด้า
https://www.nasdaq.com/symbol/bkng
https://en.wikipedia.org/wiki/Booking_Holdings
https://www.marketwatch.com/investing/stock/bkng/profile
https://finance.yahoo.com/quote/AC.PA/key-statistics?p=AC.PA
https://www.forbes.com/forbes/2009/0824/travel-expedia-travel-how-priceline-survives-recession.html#e1d9b3e66618
https://www.wikipedia.org
https://www.agoda.com/th-th/info/about-agoda.html