วันนี้ Converse คือหนึ่งในแบรนด์ดังในตลาด Streetwear ที่มีแฟนประจำมากมาย และทำยอดขายได้ระดับพันล้าน แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่เดินเกมพลาด ยึดติดกับตำนานมากเกินไปจนเผชิญวิกฤตใหญ่มาแล้ว
แบรนด์ดาวห้าแฉกที่กลับขึ้นฟ้าอีกครั้งหลังเดินทางใหม่
Converse ก่อตั้งเมื่อปี 1908 ภายใต้ชื่อ Converse Rubber Shoe Company โดย Marquis Mills Converse อดีตผู้จัดการโรงงานรองเท้า ช่วงแรกผลิตรองเท้ายางสำหรับใส่ในฤดูหนาว
จากนั้นในปี 1915 จึงเริ่มขยับไปผลิตรองเท้ากีฬา ตามด้วยรองเท้าหุ้มข้อทรงสูงรุ่นที่รู้จักกันทุกวันนี้ในเวลาถัดมา แต่ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เปลี่ยนไปผลิตเฉพาะรองเท้าให้กองทัพสหรัฐฯ
Chuck Taylor และ Jack Purcell สองชื่อดังที่ผูกพันกับ Converse
แม้ไม่ใช่คอกีฬา ผู้ชื่นชอบแฟชั่นแนว Streetwear หรือแฟนคลับวงร็อก แต่คนทั่วโลกต่างรู้จัก และจดจำ Converse ได้จาก Logo รูปดาว 5 แฉก ภาพลักษณ์ความเป็นขบถที่ตรงกับความหมายของคำว่า Converse (ตรงข้าม) และยังไปพ้องกับชื่อสกุลของผู้ก่อตั้งแบรนด์ (Marquis Mills Converse) อย่างลงตัวอีกด้วย
ทว่ายังมีอีก 2 ชื่อที่ผูกพันกับ Converse และทำเงินให้แบรนด์ไม่ใช่น้อยในแต่ละปี ชื่อแรกคือ Chuck Taylor อดีตนักบาสเกตบอลที่เข้ามาร่วมงานกับ Converse ในฐานะฝ่ายขายในปี 1921
Converse All-Star รองเท้าขบถของชนอเมริกัน
Converse เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 และเริ่มมาบูมในช่วง 30 ปีหลังจากนั้น ในยุคนั้นชาวอเมริกันยังนิยมรองเท้าหนัง จริงๆก็ไม่เชิงนิยมแต่ว่าเกือบทั้งหมดของผู้ชายนะใส่รองเท้าหนัง จนกระทั่งเข้าสู่ยุคที่นักกีฬาบาสเก็ตบอลหันมาใส่ Converse All-Star ที่จุดประกายจากไอคอนผู้ริเริ่มคือนาย Chuck Taylor
Jack Purcell
Converse Jack Purcell คือรองเท้าอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมไม่น้อย ผลิตภายใต้แบรนด์คอนเวิร์ส ซึ่งคอนเวิร์สไปซื้อ Trandmark, Jack Purcell มาเมื่อปี 1970 ออกแบบโดยนาย John Edward Jack Purcell อดีตนักแบตมินตันชื่อดังชาวแคนาดา
Jack Purcell คือรองเท้าสำหรับกีฬาแบตมินตัน ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นรองเท้าไลฟ์สไตล์เช่นเดียวกับรุ่น Chuck Taylor All-Star แม้จะไม่เปรี้ยงปร้างเท่า แต่ Jack Purcell ก็ขายดีมากเมื่อเทียบกับแบรนด์รองเท้าแบตมินตันอื่นๆ คนดังที่ใส่ Converse Jack Purcell คือ James Dean อิทธิพลของ ดีน ทำให้ Jack Purcell ถูกถามหาอย่างต่อเนื่อง และได้รับความนิยมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
พอถัดมาช่วงปี 60’s ถึง 70’s เป็นยุคที่มีการเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามเวียดนามของคนหนุ่มสาวในอเมริกาและเป็นช่วงเวลาที่หลายๆคนต่างก็ลงความเห็นว่าดนตรี Rock and Roll ได้เดินทางมาถึงจุดพีคสูงสุด …กับแฟชั่นกางเกงยีนส์ขาม้าขากระดิ่งทั้งชายและหญิงที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าไม่เลือกเดินเท้าเปล่า… รองเท้าผ้าใบที่เหล่าบุปผาชนเลือกใช้กันต้องเป็น Converse แน่นอน เอาง่ายๆดูอย่างศิลปินรุ่นใหญ่ในยุคนั้น ”George Harrison” มือกีตาร์แห่งวงสี่เต่าทอง “The Beatles” ที่เป็นเหมือนต้นแบบจุดประกายให้กับนักดนตรีหลายๆคน ตอนเล่น Rooftop Concert ปี 1969 (คอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของ The Beatles ที่จัดบนหลังคาตึก Appleอันโด่งดัง) เขาใส่รองเท้าผ้าใบ Converse Chuck Taylor สีดำตัดกับกางเกงขาม้าสีเขียวสุดจ๊าบออกมาเป็นชุดที่ดูเท่และโคตรจะ Iconของยุคสุดๆ มาในช่วงกลาง 70’s หน่อยๆเราก็ได้พบกับอีกหนึ่ง Rock Star ที่ชื่อว่า “Bruce Springsteen” นักดนตรีและนักแต่งเพลงมากฝีมือที่ไปถามคนอเมริกันคนไหนต้องรู้จักเขาอย่างแน่นอน เขามากับลุคง่ายๆใส่เสื้อกล้าม กางเกงยีนส์ ไว้หนวดเคราและรองเท้ Converse สีดำดูติดดิน พร้อมกับบทเพลงเนื้อหาโดนๆที่เป็นขวัญใจของคนอเมริกันชนชั้นทำงานในเวลานั้นสุดๆ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่ดนตรี Hard Rockกำลังครองตลาดมีวงแนวหน้าอย่าง “Led Zeppelin” มีนาย “Robert Plant” ผู้เป็นเหมือน Sex Symbol ในเวลานั้นรับหน้าที่นักร้องนำ เป็นภาพลักษณ์หนุ่มผมยาว หน้าตาหล่อ ใส่เสื้อผ้าผู้หญิงตัวคับติ้ว นุ่งยีนส์ขาม้า เข็มขัดหัวโตและ Converse สีแดงสด รวมๆแล้วเป็นการแต่งตัวที่ถือเป็นการทิ้งทวนก่อนจะจบยุคฮิปปี้อย่างแท้จริง
กระโดดมาต่อกันในช่วงเข้าสู่ยุค 80’s ในเวลานั้นฝั่งเกาะอังกฤษกำลังมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนแหกคอกที่เราเรียกสั้นๆกัยว่า “Punk” อยู่ …เป็นที่ทราบกันดีว่าลุคชาวพังค์เขาต้องมาพร้อมกับบู๊ทหนังหรือพวกรองเท้า Combat ขอบหนาๆใช่ไหม? แต่รู้ไว้ด้วยว่าตัวพ่ออย่าง Sid Vicious แห่งวง The Sex Pistol เขาก็เลือกใส่รองเท้าผ้าใบ Converse เท่ๆเหมือนกัน! จากพังค์นำมาสู่การขบถแห่งยุคสมัยใหม่… ปี 90’s กับการกำเนิดของดนตรีทางเลือก แน่นอนว่า Idol ของเด็กยุคเก้าศูนย์คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนาย “Kurt Cobain” นักร้องนำแห่งวง Nirvana หนุ่มผมบลอนด์รูปหล่อ ผู้นำแฟชั่นกางเกงยีนส์ขาดๆใส่คู่กับ Converse Chucks Taylor สีดำหุ้มข้อสุดจะ Grunge สุดจะเขรอะของเขาออกมาให้ชาวโลกได้เห็น แสดงความเป็นเจ้าพ่อแห่งยุค Alternative ได้อย่างคลาสสิคจริงๆ …จากที่ไล่ๆมานี้ ก็คงเห็นได้ถึงอิทธิพลของรองเท้า Converse ที่มีต่อ Pop Culture แต่ละยุคแต่ละสมัยรุ่นแล้วรุ่นเล่าไปแล้ว รู้ตัวอีกทีวันนี้มองไปทางไหนก็เจอแต่คนใส่ Chucks และ Jack เดินบนท้องถนนเต็มไปหมด กลายเป็นแบรนด์รองเท้าผ้าใบสามัญประจำบ้านที่ใส่กันตั้งแต่พ่อยันลูกไปแล้ว
รองเท้า Converse ในยุคปัจจุบัน พวกเขาก็ยังคงไม่หยุดอยู่กับที่ขยันพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ ด้วยช่องทางการ Collaboration กับเหล่าดีไซน์เนอร์ชื่อดัง เกิดเป็น Converseลายใหม่ๆมากมาย ยุคหลังๆมานี้เลยถือว่าโชคดีที่เรามี Converse ลายเพ้นต์ ลายปริ้นบนรองเท้า ทำออกมาให้คนใส่อย่างเราๆได้ Mix and Match กันสนุกมือ สำหรับคนที่ทำให้ Converseกระแส Collaboration นี้มาแรงและโดดเด่นขึ้นมาทันทีก็คือ “John Varvatos” ดีไซน์เนอร์ลูกครึ่งชาวกรีก-อเมริกัน เขาเป็นนักออกแบบชื่อแรกๆที่ Converseได้มอบหมายให้มาร่วมออกแบบให้ และมันก็ทำให้ทั้งเขาและแบรนด์ประสบความสำเร็จคู่กันเลยจริงๆ ซึ่งแต่ละรุ่นของ John Varvatosจะผลิตออกมาเป็น Limited Edition และใช้วัสดุอย่างดีแบบ High-End ช่วยยกระดับให้ Converse เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เหล่า Fashionista ทั้งหลายจะมองข้ามไปไม่ได้ และท่ามกลางยุคสมัยที่ทุกคนคงทราบกันดีว่า Converse ทุกวันนี้ไม่ได้ผลิต Made in USA ที่เดียวเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ด้วยความที่โลกเป็นยุคโลกาภิวัฒน์ ทั้งโลกถูกบีบให้แคบลง เพื่อลดต้นทุน… ฐานการผลิตถูกกระจายไปทั่วโลก หนึ่งในนั้นก็มี “Converse Made in Thailand” ของบ้านเราอยู่ด้วย แต่ประเทศที่เห็นจะพิเศษกว่าใครเพื่อนคือไลน์การผลิต Made in Japan คนที่เล่นรองเท้าผ้าใบจะรู้กันดีว่า Converse Made in Japan ต่างกับประเทศอื่นตรงที่ พวกเขาตั้งตนเป็นแบรนด์ต่างหากของตัวเอง เพียงแต่ยังใช้ชื่อและลิขสิทธิ์ของแบรนด์เท่านั้น รองเท้า Converseที่ผลิตจากญี่ปุ่น จะใช้วัสดุดี ผลิตจำนวนน้อย มีลายเฉพาะรุ่นที่ไม่มีใครเหมือน แถมยังทำให้ดูหายากเข้าไปอีกด้วยการวางขายเฉพาะที่แดนอาทิตอุทัยประเทศญี่ปุ่นเพียงที่เดียว ถือเป็นอีกหนึ่งสายที่เหล่านักสะสมชื่นชอบและตามหาเก็บกันไม่แพ้พวก Made in USA และพวก Deadstock รุ่นวินเทจกันเลยทีเดียว
ขอคุณข้อมูล https://marketeeronline.co/