เนื้อหาภาษาอังกฤษ ม.4 เทอม 1
โครงสร้าง tense หลักการใช้ของแต่ละ Tense
เรามาดูหลักการใช้ของ Tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่าง กันก่อนดีกว่า
Past Tense
Past Simple ใช้กับการกระทำที่ผ่านไปแล้ว
เช่น I ate soup yesterday. เมื่อวานฉันกินซุป
Past Continuous
กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในอดีต ทั้งแบบที่มีเวลาระบุไว้ชัดเจน หรือมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเข้ามาแทรก
เช่น I was eating soup when you arrived. ตอนนั้นฉันกำลังกินซุป ตอนคุณมาถึง
Past Perfect
เมื่อมีเหตุการณ์ในอดีตเกิดขึ้น 2 เรื่องแบบไม่พร้อมกันและเป็นเรื่องที่จบไปแล้ว
เช่น I had already eaten soup when you arrived. ตอนนั้นฉันกินซุปเสร็จแล้ว ตอนคุณมาถึง
Past Perfect Continuous
ใช้เมื่อมีเหตุการณ์ในอดีตกำลังดำเนินอยู่ แล้วจู่ ๆ ก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น
เช่น I had been eating soup for hours when you arrived. ตอนนั้นฉันกำลังกินซุปอยู่เป็นชั่วโมง ตอนคุณมาถึง
Present Tense
Present Simple
ใช้พูดถึงปัจจุบัน ทั้งสภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบัน และการกระทำที่เราปฏิบัติเป็นประจำ หรือเป็นกิจวัตร หรือสิ่งที่เป็นความจริงตลอดกาล เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก
เช่น Chiang Mai is in Thailand. เมืองเชียงใหม่อยู่ในประเทศไทย
Present Continuous
ใช้เมื่อสิ่งที่ทำกำลังดำเนินอยู่ หรือใช้บอกเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
เช่น I am eating meat ball right now. ตอนนี้ผมกำลังกินมีทบอล
Present Perfect
ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วดำเนินมาจนถึงในปัจจุบัน
เช่น I have already eaten meat ball. ผมกินมีทบอลเสร็จแล้ว
Present Perfect Continuous
ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วดำเนินมาจนถึงในปัจจุบัน แต่ยังไม่จบและยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่องไปถึงอนาคต
เช่น I have been eating meat ball for hours. ผมกินมีทบอลมาเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย
บทความดีๆ
Future Tense
Future Simple
ใช้กับการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เช่น I will eat bread tomorrow. พรุ่งนี้ผมจะกินขนมปัง
Future Continuous
ใช้กับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ตามเวลาที่ระบุไว้
เช่น I will be eating bread at 8 PM. ผมจะกินขนมปังตอน 8 PM.
Future Perfect
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่อีกเหตุการณ์หนึ่งที่จะเกิดในอนาคต
เช่น I will have already eaten bread by the time you arrive. ผมจะกินขนมปังให้เสร็จตอนที่คุณมาถึง
กริยาช่องที่ 2 แบ่งเป็น 2 วิธี
1) แบบธรรมดา คือ เติม ‘ed’ ยกตัวอย่างเช่น walked, worked, talked, smiled, listened เป็นต้น
ในบางกรณีต้องเพิ่มตัวอักษรสุดท้ายอีกหนึ่งตัวกับคำกริยาที่เป็นหนึ่งพยางค์และหน้าตัวอักษรสุดท้ายเป็นสระตัวเดียว
ยกตัวอย่างเช่น stopped, jammed เป็นต้น
ในบางกรณีที่ลงท้ายด้วย ‘y’ และหน้า ‘y’ เป็นพยัญชนะต้องเปลี่ยน ‘y’ เป็น ‘ied’ ยกตัวอย่างเช่น studied, carried เป็นต้น
2) แบบพิเศษ คือ เปลี่ยนตัวสะกด ยกตัวอย่างเช่น swim-swam, eat-ate, speak-spoke เป็นต้น
หรือไม่เปลี่ยนตัวสะกดเลย ยกตัวอย่างเช่น cost, cut, hit, hurt เป็นต้น
หากจะใช้ “past perfect” หรือ “past continuous” คู่กันกับ “past simple” ต้องเข้าใจเป็นพื้นฐานก็ว่าเป็นการสื่อสารเวลาที่เกิดขึ้นแบ่งเป็นสองแบบใหญ่ๆคือ “เกิดขึ้นพร้อมกัน” หรือ “เกิดก่อนและหลัง”
ประโยคด้วยคำเชื่อม “While” หรือ “When” คือ ใช้ “continuous” หรือ “was/were + กริยาเติม ing” ได้ฝั่งเดียว โดยอีกประโยคเป็น “past simple” ที่ใช้รูปกริยาช่องที่ 2 ยกตัวอย่างเช่น
“When I was sleeping, he called.” แปลว่า “ตอนผมหลับเขาโทรมา”
“I was working while he was asleep” แปลว่า “ตอนผมทำงานอยู่เขาหลับ”
“When he left, I was taking a bath.” แปลว่า “ตอนเขาออกไปฉันอาบน้ำอยู่”
การเลือกประโยคที่ใช้ “continuous” หรือ “was/were + กริยาเติม ing” ต้องดูว่ากริยาสามารถทำได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่หากไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องต้องใช้เป็น “past simple” ที่ใช้รูปกริยาช่องที่ 2 เท่านั้น
อย่างไรก็ตามหากจะใช้ past simple ก็สามารถใช้พร้อมกันได้ทั้งสองประโยค ยกตัวอย่างเช่น
“I was ready when he woke up.” แปลว่า “ฉันพร้อมแล้วตอนที่เขาตื่น”