การปลูกป่าเพื่อสังคมและการพัฒนาฟื้นฟูป่า
ป่าไม้ของประเทศถูกทำลายอย่างรวดเร็วตามแรงหนุนเนื่องของประชากรที่เพิ่มขึ้น ผนวกกับพลังผลักดันทางเศรษฐกิจ ระบบทุนนิยมเสรี ที่มุ่งค้าขาย โดยใช้ป่าเป็นตัวสำคัญ การเช่นนี้ก่อให้เกิดภาวะแห้งแล้งเนื่องจากต้นน้ำลำธารถูกทำลาย ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อยามน้ำหลากก็เกิดน้ำท่วมฉับพลันและมีการพังทลายของดินอย่างรุนแรง จนเกิดปัญหาต่อการประกอบอาชีพทางการเกษตร กลายเป็นทุกข์ร้อนของแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึง ปัญหาดังกล่าวยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องป่าไม้เป็นสิ่งที่ พระองค์ทรงห่วงใยอย่างมาก ตั้งแต่เริ่มเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติเป็นต้นมา
การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก ซึ่งภาษาอังกฤษใช้คำว่า Reforestation without Planting หรือ Natural Reforestation ซึ่งคำว่า forest เป็นคำที่ใช้เรียกป่าไม้โดยทั่วไป ส่วน Re ที่เป็นคำนำหน้านั้นแปลว่า อีกครั้ง ทำอีกครั้งเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น และกลับไปสู่สภาพเดิม คำว่า Reforestation จึงแปลเป็นไทยว่า การปลูกป่าขึ้นใหม่เพื่อทดแทนในพื้นที่ที่ป่าเดิมได้ถูกทำลายไป การที่ ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก ใช้ภาษาอังกฤษว่า Reforestation without Planting นั้น เป็นการแปลอย่างตรงตัว ตรงความหมาย Reforestation ตามที่พูดไว้ข้างต้นว่าแปลว่าการปลูกป่าขึ้นใหม่เพื่อทดแทน without แปลว่าปราศจาก และ Plant แปลว่าปลูกต้นไม้ Planting ก็คือการปลูกต้นไม้ นำมารวมกันแล้วจึงแปลว่า การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูกนั่นเอง สำหรับ Natural Reforestation คำว่า Natural มาจากคำว่า Nature ที่แปลว่าธรรมชาติ Natural จึงมีความหมายว่า ตามธรรมชาติ ก็คือการปลูกป่าโดยปล่อยไปตามธรรมชาติหรือโดยไม่ต้องปลูกนั่นเอง
แนวคิด ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูกนี้ แสดงให้เห็นว่าป่าไม้สามารถเจริญเติบโตเองได้ตามธรรมชาติ ถ้ามนุษย์เราไม่ไปรบกวนทำลายป่า และปล่อยให้เติบโตเองตามธรรมชาติ สักระยะหนึ่งป่าไม้ก็จะสมบูรณ์ได้ด้วยตัวเอง การที่ปลูกป่าโดยไม่เข่าใจถึงธรรมชาติของป่าจะเป็นการทำลายป่าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และยังเป็นการทำลายสภาพแวดล้อมอีกด้วย แนวคิดนี้จึงเป็นแนวคิดที่เข้าใจธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้งโดยใช้หลักการฟื้นฟูสภาพป่าด้วยวัฏธรรมชาติ
การปลูกป่า 3 อย่างได้ประโยชน์ 4 อย่าง แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า 3 Forests, 4 Benefits แนวคิดนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษตรงตัว ตรงความหมายเช่นกัน คำว่า Benefit แปลว่า คุณประโยชน์ หรือกำไร มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินที่แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Benefaction ซึ่งหมายความถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
แนวคิดนี้เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรป่าไม้ ในขณะเดียวกันก็เป็นการสนองความต้องการทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของราษฎรไปในตัวด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการป้องกันไม่ให้ชาวบ้านบุกรุกเข้าทำลายป่าไม้ โดยปลูกป่า 3 อย่าง คือ ป่าสำหรับไม้ใช้สอย ป่าสำหรับเป็นไม้ผล หรือไม้กินได้ และป่าสำหรับเป็นเชื้อเพลิง หรือไม้ฟืน นั่นคือป่า 3 อย่าง ซึ่งป่า 3 อย่างนี้ให้ประโยชน์ตามประเภท คิดเป็นประโยชน์ 3 อย่างแล้ว ส่วนประโยชน์อย่างที่ 4 นั้นคือการอนุรักษ์ดิน และน้ำ และคงความชุ่มชื้นเอาไว้ ไม่ว่าป่าชนิดไหนใดก็ให้ประโยชน์อย่างนี้ทั้งนั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลพลอยได้
ป่าเปียก หรือ Wet Forest เป็นแนวคิดที่ใช้ป้องกันไฟป่า ซึ่งถ้าเกิดขึ้นแล้วจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ต้องมีการระดมกำลังเข้าแก้ไขอย่างเร่งด่วนทุกครั้งไป หากรู้วิธีการป้องกันที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพแล้วนั้น จะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ซึ่งวิธีการสร้างป่าเปียกนั้นไม่ยากเลย วิธีการแรกคือการทำระบบป้องกันไปไหม้ป่า โดยใช้แนวคลองส่งน้ำ และแนวพืชชนิดต่างๆ ต่อไปให้สร้างระบบการควบคุมไฟป่าด้วยแนวป้องกันไฟป่าเปียก หรือ Wet Fire Break ซึ่งคำว่า Break ในที่นี้แปลว่า หยุด นั่นเอง จากนั้นให้ปลูกไม้โตเร็วคลุมแนวร่องน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น แล้วจึงสร้างฝายชะลอความชุ่มชื้น หรือ Check Dam ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่ได้เสนอไปในฉบับที่แล้ว โดยความชุ่มชื้นจะค่อยๆ แผ่ขยายเข้าไปในดินจนกลายเป็น ป่าเปียก จากนั้นให้สูบน้ำขึ้นไปในระดับที่สูงที่สุดแล้วค่อยปล่อยลงมา เพื่อให้ค่อยๆ ซึมลงดิน แล้วจึงปลูกต้นกล้วยหากเกิดไฟไหม้ก็จะปะทะต้นกล้วยซึ่งอุ้มน้ำได้ดีกว่าพืชอื่น ทำให้ลดการสูญเสียน้ำไปได้มาก
ขอบคุณแหล่งข้อมูล https://www.chaipat.or.th/