ทำความรู้จักสนามสอบภาษาอังกฤษ 6 รูปแบบ ทั้ง SAT, TOEIC, TOEFL, IELTS, CU – TEP และ TU – GET
SAT (Scholastic Aptitude Test หรือ the Scholastic Assessment Test)
ถึงจะไม่ใช่การสอบวัดระดับความสามารถด้านภาษาโดยเฉพาะ แต่สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ผลการสอบ SAT ก็ถือว่าจำเป็นมาก ๆ เพราะ SAT คือการสอบวัดระดับมาตรฐานความรู้ สำหรับการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในสหรัฐอเมริกา และหลักสูตรอินเตอร์ในมหาวิทยาลัยของไทย การสอบจัดขึ้นโดย CollegeBoard เน้นวัดระดับความรู้ด้านการอ่านเขียนภาษาอังกฤษ การคิดวิเคราะห์ และการใช้เหตุผล การสอบ SAT มี 2 ประเภท ได้แก่
- SAT Reasoning Test หรือ SAT I: การสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษ และการใช้เหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ ซึ่งก็คือวิชาภาษาอังกฤษและวิชาคณิตศาสตร์นั่นเอง การสอบ SAT Reasoning Test เป็นรูปแบบการสอบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีคะแนนเต็มรวม 1,600 คะแนน ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ได้แก่
- Evidence – Based Reading & Writing (800 คะแนน) หรือวิชาภาษาอังกฤษ ประกอบด้วยข้อสอบ Reading และ Writing and Language สำหรับทดสอบการอ่านและเขียนภาษาอังกฤษ (แกรมมาร์ โครงสร้างประโยคและ Tense ต่าง ๆ ไม่มีการเขียนเรียงความ (Essay) แต่อย่างใด)
- Mathematics (800 คะแนน) หรือวิชาคณิตศาสตร์ เน้นทดสอบการวิเคราะห์และการใช้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ ข้อสอบประกอบด้วยพาร์ทคำนวณที่อนุญาตใช้เครื่องคิดเลขช่วยคิดได้ และพาร์ทที่ไม่มีการคำนวณที่ห้ามใช้เครื่องคิดเลขในการทำข้อสอบ
- SAT Subject Test หรือ SAT II: การสอบวัดระดับ ความรู้เฉพาะทาง ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา เช่น คณิตศาสตร์ (ระดับ Level 1 – 2 ซึ่งยากกว่าใน SAT I) วิทยาศาสตร์ ทั้งเคมี ฟิสิกส์ และชีววิทยา ประวัติศาสตร์และสังคม (ประวัติศาสตร์อเมริกัน และประวัติศาสตร์โลก) วรรณกรรมอังกฤษ การอ่านและการฟังภาษาที่สาม เช่น ภาษาฝรั่งเศส สเปน เยอรมัน จีน เกาหลี และญี่ปุ่น การอ่านภาษาอิตาเลียน ละติน และภาษาฮีบรู
จะบอกว่าการสอบ SAT คล้ายกับการสอบ GAT – PAT สำหรับแอดมิชชันของไทยก็ไม่ผิดนัก นอกจากใช้ยื่นเข้ามหาวิทยาลัยในต่างประเทศ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา) คะแนนสอบ SAT ยังจำเป็นมากต่อการยื่นเข้าคณะอินเตอร์ต่าง ๆ ในไทย เช่น BBA, EBA, ISE และ BALAC ถ้าเพื่อน ๆ สนใจและต้องใช้คะแนนสอบ SAT เราแนะนำให้เตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะข้อสอบ Reading ของ SAT นั้นซับซ้อนและศัพท์ยากมาก แถมค่าสอบก็แพงหูฉี่ (ค่าธรรมเนียมในการสอบอยู่ที่ 100.5$ หรือประมาณ 3,300 บาท และอาจมีค่า Late fee เพิ่มอีก 29$ หากสมัครสอบกระชั้นชิด) ดังนั้นเพื่อน ๆ ควรเตรียมตัวดี ๆ จะได้ไม่พลาด
*ปัจจุบัน CollegeBoard ได้ประกาศยกเลิกสอบ SAT Subject Tests ทั้งหมดแล้ว โดยจะจัดสอบรอบเดือนมิถุนายน 2021 เป็นรอบสุดท้าย แต่ SAT I ยังคงจัดสอบตามปกติ เพื่อน ๆ สามารถติดตามข่าวสารสำหรับการสอบ SAT ได้ที่เว็บไซต์ของ CollegeBoard โดยตรง
CU – TEP (Chulalongkorn University Test of English Proficiency)
CU – TEP คือการทดสอบ วัดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษา ทั้งในระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษา จัดสอบโดยศูนย์ทดสอบทางวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University Academic Testing Center) หากเพื่อน ๆ ต้องการเข้าศึกษาในคณะที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ หรือต้องการเรียนต่อในระดับปริญญาโทและเอกในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ต้องเตรียมตัวสอบ CU – TEP ไว้เลย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในไทยหลายที่ก็ใช้คะแนน CU – TEP ยื่นประกอบใบสมัครเพื่อศึกษาต่อด้วย (แต่อาจไม่ได้ใช้ทุกคณะ) เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ข้อสอบ CU – TEP จะเน้นวัด 3 ทักษะ ได้แก่ การอ่าน การฟัง การเขียน มีคะแนนเต็มทั้งหมด 120 คะแนน
TU – GET (Thammasat University General English Test)
TU – GET คือการทดสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่ประสงค์เข้าศึกษาต่อในหลักสูตรนานาชาติ และระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ และคณะวารสารศาสตร์ การสอบ TU – GET จัดขึ้นโดยสถาบันภาษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตัวข้อสอบจะเน้นวัดความรู้ด้านไวยากรณ์ (Grammar and Structure) คำศัพท์ (Vocabulary) และทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ (Reading comprehension) มีคะแนนเต็ม 1,000 คะแนน
TOEFL (Test of English as a Foreign Language)
TOEFL คือแบบทดสอบวัดความสามารถใน การใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติ มักใช้ในการสมัครงานหรือเรียนต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา โครงการแลกเปลี่ยนอื่น ๆ เช่น โครงการ Work and Holiday และบางครั้งการสมัครงานในโครงการ Work and Travel นายจ้างก็จะขอดูคะแนน TOEFL ด้วย การสอบ TOEFL จัดสอบโดย ETS (Educational Testing Survice) เหมือนกับ TOEIC ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการสอบ TOEFL มีการปรับปรุงและพัฒนาข้อสอบอยู่บ่อยครั้ง ทำให้มีการสอบหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างการสอบ TOEFL ที่สำคัญ เช่น
- TOEFL iBT Test: ย่อมาจาก Internet – based Format หรือการสอบผ่านอินเทอร์เน็ต การสอบจะวัดผลครอบคลุม 4 ทักษะทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ทุกทักษะจะมีคะแนนเต็ม 30 คะแนน รวมเป็น 120 คะแนน ถ้าพูดถึงการสอบ TOEFL แบบไม่เฉพาะเจาะจงก็จะหมายถึงการสอบ TOEFL iBT Test
- TOEFL ITP Test: หรือ TOEFL Institutional Testing Program เป็นข้อสอบที่ ETS พัฒนาขึ้นมาทดแทนการสอบด้วยกระดาษ (TOEFL PBT หรือ TOEFL Paper – Based Test) ที่ถูกยกเลิกไปในเดือนกรกฎาคม ปี 2017 การสอบ TOEFL ITP มักเป็นการสอบที่สถาบันต่าง ๆ จัดขึ้นเพื่อใช้คะแนนยื่นเข้าสถาบันนั้น ๆ โดยตรง เช่น MUIC ของมหาวิทยาลัยมหิดล การสอบ TOEFL ITP Test มีคะแนนเต็ม 677 คะแนน และไม่เป็นที่นิยมสอบมากนัก
นอกจากนี้ ETS ยังจัดการสอบ TOEFL Junior Test สำหรับเด็กในช่วงอายุ 11+ ปี และ TOEFL Primary Test สำหรับเด็กในช่วงอายุ 8+ ปีด้วย แต่จะเน้นวัดความสามารถและพัฒนาการด้านการสื่อสารเป็นหลัก
TOEIC (Test Of English for International Communication)
TOEIC คือการสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษสำหรับ “การทำงานในองค์กรระดับนานาชาติ” ต่าง ๆ ในปัจจุบันสถานศึกษาบางแห่งก็บังคับให้ยื่นคะแนนสอบ TOEIC ก่อนยื่นจบการศึกษาด้วย การสอบ TOEIC จัดสอบโดย ETS (Educational Testing Survice) ซึ่งเป็นองค์กรที่ดำเนินงานด้านการสอบวัดผลทางการศึกษาโดยเฉพาะ ผลคะแนนจากการสอบ TOEIC เป็นที่ยอมรับขององค์กรกว่า 14,000 กว่าองค์กรใน 160 ประเทศทั่วโลก ถือเป็นอีกหนึ่งการสอบวัดระดับทางภาษาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล การสอบ TOEIC แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ
- TOEIC Listening and Reading Test: การสอบวัดระดับทักษะ การอ่านและการฟัง ภาษาอังกฤษที่จำเป็นต่อการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน
- TOEIC Speaking and Writing Tests: การสอบวัดระดับทักษะ การพูดและการเขียน ภาษาอังกฤษที่จำเป็นต่อการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน
- TOEIC Bridge Test: การสอบวัดระดับการอ่านและการฟังภาษาอังกฤษ สำหรับผู้เรียนในระดับเบื้องต้นจนถึงปานกลาง ข้อสอบจะมีแค่ 100 ข้อ TOEIC Bridge Test จึงเหมือนข้อสอบจำลองของ TOEIC Listening and Reading Test เหมาะสำหรับการวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษก่อนเข้าเรียนในสถาบันต่าง ๆ
โดยการสอบ TOEIC Listening and Reading Test เป็นรูปแบบการสอบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ข้อสอบ TOEIC Listening and Reading Test จะมีทั้งหมด 200 ข้อ แบ่งเป็นพาร์ทการอ่าน (Reading) 100 ข้อ และพาร์ทการฟัง (Listening) อีก 100 ข้อ คะแนนเต็ม 990 คะแนน โดยในการศึกษาต่อและการสมัครงาน แต่ละองค์กรจะมีเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำที่แตกต่างกัน (แต่ถ้าได้ 700 คะแนนขึ้นไปก็ถือว่าน่าพอใจ หายห่วงได้ในระดับหนึ่งแล้ว) เนื้อหาของข้อสอบ TOEIC ประกอบไปด้วยการวัดทักษะการสื่อสารเชิงธุรกิจ เน้นบทสนทนาเกี่ยวกับการทำงานในบริษัท งบประมาณและการเงิน เทคโนโลยีการสื่อสาร สุขภาพ การเดินทาง และความบันเทิงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เนื่องจากการสอบ TOEIC มีค่าธรรมเนียมการสอบที่ถูกกว่าการสอบรูปแบบอื่น ๆ (ค่าสมัครสอบอยู่ที่ประมาณ 1,800 บาท) ผลการสอบออกเร็วมาก ๆ (แค่ 1 – 2 วันหลังการสอบก็รู้ผลคะแนนแล้ว) แถมผลการสอบก็ได้รับการยอมรับในระดับสากล การสอบ TOEIC จึงได้รับความนิยมสูงมากและมีผู้เข้าสอบกว่า 6 ล้านคนทั่วโลกต่อปี
IELTS (International English Language Testing System)
IELTS คือการสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษระดับมาตรฐานสากลสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติ ที่จัดขึ้นโดย British Council, IDP: IELTS Australia และ Cambridge Assessment English มักใช้พิจารณาเพื่อการศึกษาต่อหรือการทำงานในยุโรป อังกฤษ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา นิวซีแลนด์ และไอริช รวมถึงโครงการแลกเปลี่ยน Work and Holiday ด้วย การสอบ IELTS มี 2 ประเภทหลัก ๆ คือ
- Academic Modules: สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี – เอก
- General Training Modules: สำหรับผู้ที่ต้องการทำงานหรือย้ายถิ่นฐานไปออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
โดยการวัดผลของ IELTS นั้นครอบคลุม 4 ทักษะ ทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน แต่จะคิดคะแนนออกมาเป็นคะแนนเฉลี่ยของทั้ง 4 ทักษะด้วยการหาร 4 แล้วเทียบเป็น Band ตั้งแต่ 0.0 – 9.0 แทน
จะเห็นว่าการสอบแต่ละแบบก็มีรายละเอียกที่แตกต่างกัน ทั้งจุดประสงค์ในการสอบ ค่าสมัครสอบ และจำนวนรอบที่เปิดให้สอบต่อเดือน วันนี้ StartDee สรุปรายละเอียดแบบคร่าว ๆ มาให้แล้ว (แต่เพื่อข้อมูลที่อัปเดต ก่อนสอบเพื่อน ๆ ควรตรวจสอบกำหนดการสอบในหน้าเว็บไซต์ทางการอีกครั้ง)
จุดประสงค์ในการสอบ | ค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบ (THB) | คะแนนเต็ม | จำนวนครั้งที่เปิดให้สอบ | อายุคะแนน (ปี) | |
SAT | สอบวัดระดับมาตรฐานความรู้ เพื่อศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของต่างประเทศและหลักสูตรนานาชาติในมหาวิทยาลัยของไทย | 3,300+ | 1,600 | 4 – 5 ครั้งต่อปี | 2 |
CU – TEP | สอบวัดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษา สำหรับผู้ที่ประสงค์เข้าศึกษาต่อในหลักสูตรนานาชาติ และระดับปริญญาโท – เอกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | 900 | 120 | 1 – 2 ครั้งต่อเดือน | 2 |
TU – GET | สอบวัดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่ประสงค์เข้าศึกษาต่อในหลักสูตรนานาชาติ และระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | 500 – 700 | 1,000 | 1 ครั้งต่อเดือน | 2 |
TOEFL | สอบวัดความสามารถใน การใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ | 1,800 | 120 | เปิดสอบทุกวันยกเว้นวันเสาร์ – อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ | 2 |
TOEIC | สอบวัดระดับความรู้ทางภาษาสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน | 1,800 | 990 | เปิดสอบทุกวันยกเว้นวันเสาร์ – อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ | 2 |
IELTS | วัดระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษาต่อหรือการทำงานในยุโรป อังกฤษ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา นิวซีแลนด์ และไอริช | 6,900 | 9 | 4 ครั้งต่อเดือน | 2 |
เทคนิคการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษให้ผ่านแบบง่าย ๆ นอกจากการฝึกฝนการฟัง พูด และอ่านภาษาอังกฤษบ่อย ๆ
ขอบคุณข้อมูล https://blog.startdee.com/