ประวัติศาสตร์ประเทศอังกฤษอังกฤษ เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุด และมีประชากรมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร ประวัติศาสตร์อังกฤษเริ่มขึ้นเมื่อมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์เมื่อหลายพันปีมาแล้ว ภูมิภาคที่ปัจจุบันคืออังกฤษภายในสหราชอาณาจักรเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นีอันเดอร์ธอลราว 230,000 ปีมาแล้ว ขณะที่มนุษย์โฮโมเซเพียนซึ่งเป็นมนุษย์สมัยใหม่เริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานราว 29,000 ปีมาแล้ว แต่การอยู่ต่อเนื่องกันโดยตลอดเริ่มขึ้นราว 11,000 ปีมาแล้วในปลายยุคน้ำแข็ง ในบริเวณภูมิภาคนี้ยังมีร่องรอยของมนุษย์สมัยต่างๆ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่เริ่มตั้งแต่ยุคหินกลาง, ยุคหินใหม่ และ ยุคสัมริด เช่นสโตนเฮนจ์ และเนินดินที่เอฟบรี ในยุคเหล็กอังกฤษก็เช่นเดียวกับบริเตนทั้งหมดทางใต้ของเฟิร์ธออฟฟอร์ธเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชนเคลต์ที่เป็นกลุ่มชนที่เรียกว่า บริเตน (Briton) หรือเผ่าเบลแจ ในปี ค.ศ. 43 ชาวโรมันก็เริ่มเข้ามารุกรานบริเตน โรมันปกครองจังหวัดบริทายามาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5
ชาวบริตันและโรมัน
นักสำรวจชาวกรีกมาเยือนเกาะอังกฤษใน 325 ปีก่อนค.ศ. พลีนีผู้พ่อ (Pliny the Elder) นักสำรวจชาวโรมันกล่าวว่าเกาะอังกฤษเป็นแหล่งดีบุกสำคัญ ทาซิตุส (Tacitus) ชาวโรมันเป็นคนแรกที่กล่าวถึงชาวบริตัน (Britons) ทีอาศัยบนหมู่เกาะบริเตน ว่าไม่มีความแตกต่างกับชาวโกล (Gaul) ในฝรั่งเศส (คือเป็นชาวเคลท์เหมือนกัน) ในด้านรูปร่างหน้าตาขนาดร่างกาย
จูเลียส ซีซาร์พยายามจะพิชิตอังกฤษในปีที่ 55 และ 54 ก.ค.ศ. แต่ไม่สำเร็จ จนจักรพรรดิคลอดิอุส ส่งทัพมาพิชิตอังกฤษในค.ศ. 43 ชาวโรมันปกครองทั้งอังกฤษ เวลส์ เลยไปถึงสกอตแลนด์ ตั้งเมืองสำคัญต่างๆ เช่น ลอนดอน แต่ชาวโรมันทนการรุกรานของเผ่าเยอรมันต่างๆไม่ไหว ถอนกำลังออกไปในค.ศ. 410 ชาวแองโกล ชาวแซกซัน และชาวจูทส์ มาปักหลักตั้งถิ่นฐานในอังกฤษ ต่อสู้กับชาวบริตันเดิม ผลักให้ถอยร่มไปทางตะวันตกและเหนือ
แองโกล-แซ็กซอนและไวกิง (ค.ศ. 410 ถึง ค.ศ. 1066)
อีลีเม้นท์คอนโด 92/90 อาคาร 6 ซอย สุภาพงษ์ 1แยก 6 ถนน ศรีนครินทร์ 40 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม 10250
ในตอนแรกเผ่าต่างๆในอังกฤษกระจัดกระจาย จนรวบรวมเป็นเจ็ดอาณาจักร (Heptarchy) ที่ประกอบด้วย นอร์ทธัมเบรีย, เมอร์เซีย, อีสต์แองเกลีย, เอสเซ็กซ์, เค้นท์, ซัสเซ็กซ์ และ เวสเซ็กซ์ คริสต์ศาสนาเข้ามาเผยแพร่ใน
อังกฤษในประมาณค.ศ. 600 โดยนักบุญออกัสตินแห่งแคนเตอร์บรี อาณาจักรเมอร์เซีย เรืองอำนาจตลอดศตวรรษที่ 8 ในสมัยพระเจ้าเพนดา พระเจ้าแอเธลเบิร์ต และพระเจ้าออฟฟา แห่งเมอร์เซีย จนเวสเซ็กซ์ขึ้นมามีอำนาจแทน
ชาวไวกิง หรือที่ชาวอังกฤษเรียกว่าเดนส์ (Danes) โจมตีอังกฤษครั้งแรกที่ลินดิสฟาร์น ตามพงศาวดารแองโกล-แซ็กซอน แต่การคุกคามของชาวไวกิงน่าจะมีอยู่ก่อนหน้าแล้ว เพราะชาวไวกิงตั้งออร์คนีย์ทางตอนเหนือของสกอตแลนด์ ในปี ค.ศ. 865 ชาวไวกิ้งจากเดนมาร์กยกทัพป่าเถื่อนอันยิ่งใหญ่ (Great Heathen Army) มาบุกอังกฤษ ยึดอาณาจักรนอร์ทธัมเบรียใน ค.ศ. 866 อาณาจักรอีสต์แองเกลียใน ค.ศ. 870 และอาณาจักรเมอร์เซียใน ค.ศ. 871 แต่พระเจ้าอัลเฟรดมหาราชทรงสามารถเอาชนะไวกิงได้ในปี ค.ศ. 878 แบ่งอังกฤษระหว่างแองโกล-แซกซอน และไวกิง ดินแดนของไวกิงในอังกฤษเรียกว่า เดนลอว์ชาวไวกิงก็หลั่งไหลมาตั้งถิ่นฐานในอังกฤษ
โอรสของอัลเฟรดมหาราช คือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้อาวุโสทรงต่อสู้เพื่อขับไล่พวกไวกิงให้พ้นจากอังกฤษ พระโอรส คือ พระเจ้าเอเธลสตันพระเจ้าอเธลสตาน (Athelstan) รวมอาณาจักรเมอร์เซีย (ที่หลงเหลือ) กับอาณาจักรเวสเซ็กซ์ ต่อมาพระเจ้าเอ็ดการ์ผู้รักสงบทรงยึดนอร์ทธัมเบรียจากเดนส์ และขับไล่ไวกิงออกไปได้ เป็นการรวมอังกฤษเป็นครั้งแรก
มาระลอกใหม่ นำโดยพระเจ้าพระเจ้าสเวน ฟอร์คเบียร์ดแห่ง เดนมาร์ก พระเจ้าแอเธลเรด (Æthelred) ต้องทรงจ่ายเงินติดสินบนเพื่อไล่ทัพไวกิ้งกลับไป เรียกว่า เดนเกลด์ (Danegeld) แต่พวกไวกิ้งก็กลับมาอีกและเรียกเงินมากกว่าเดิม จนพระเจ้าสเวนยึดอังกฤษได้ในค.ศ. 1030 เนรเทศพระเจ้าแอเธลเรดไปฝรั่งเศส ในค.ศ. 1040 พระเจ้าคานูทมหาราชพระ โอรสพระเจ้าสเวน ฟอร์คเบียร์ด ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษ เป็นกษัตริย์ไวกิ้งพระองค์แรกในอังกฤษ แต่พระองค์ก็ทรงถูกพระเจ้าแอเธลเรดกลับมายึดบัลลังก์ปีเดียวกัน พระเจ้าคานูททรงหนีไปหาพระเชษฐา คือ พระเจ้าฮาราลด์ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก สะสมกำลังมาบุกอังกฤษอีกในค.ศ. 1050 พระเจ้าเอ็ดมันด์ที่ 2 (Edmund Ironside) พระโอรสพระเจ้าแอเธลเรด ทรงพยายามจะต้านพระเจ้าคานุทแต่ไม่สำเร็จ จนในค.ศ. 1060 พระเจ้าเอ็ดมันด์สิ้นพระชนม์ พระเจ้าคานุทจึงได้เป็นกษัตริย์อังกฤษอีกครั้ง
พระเจ้าคานุทยังทรงได้เป็นกษัตริย์แห่งนอร์เวย์และเดนมาร์กอีกด้วย ทำให้อาณาจักรของพระเจ้าคานุทแผ่ขยายทั่วยุโรปเหนือ ราชวงศ์ไวกิ้งยังคงถูกทวงบัลลังก์จากพวกแองโกล-แซ็กซอนอยู่ ในค.ศ. 1036 อัลเฟรด แอเธลลิง (Alfred Ætheling) พยายามจะยึดบัลลังก์จากพระเจ้าฮาโรลด์ แฮร์ฟุตแต่ถูกจับได้และสังหาร พระเจ้าฮาร์ธาคานูท ทรงปกครองอังกฤษไม่ดี ชาวอังกฤษจึงเชิญน้องชายของอัลเฟรดคือเอ็ดวาร์ด มาครองราชย์เป็นพระเจ้าเอ็ดวาร์ผู้สารภาพ ในค.ศ. 1042
แต่พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงไม่มีทายาท เมื่อสิ้นพระชนม์ในค.ศ. 1066 ก็เกิดการช่วงชิงบัลลังก์ระหว่างเอิร์ลแห่งเวสเซ็กซ์ (Earl of Wessex) พระเจ้าฮาราล์ดแห่งนอร์เวย์ และดยุกวิลเลียมแห่งนอร์มังดีจาก ฝรั่งเศส (สองคนหลังเป็นทายาทของพระเจ้าคานุท)เอิร์ลแห่งเวสเซ็กซ์ครองราชย์เป็นพระ เจ้าฮาโรลด์ กอดวินสัน (Harold Godwinson) ชนะพระเจ้าฮาราล์ดแห่งนอร์เวย์ที่สะพานสแตมฟอร์ด (Stamford Bridge) แต่แพ้ดยุกวิลเลียมที่เฮสติงส์ (Hastings) ดยุกวิลเลียมขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งแห่งอังกฤษ เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์นอร์มัน
สมัยกลาง (ค.ศ. 1066 ถึง ค.ศ. 1485)
พระเจ้าวิลเลียมทรงนำระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism) มาสู่อังกฤษ ทรงกีดกันขุนนางแองโกล-แซกซอนเดิมและให้ขุนนางนอร์มันมาปกครองอังกฤษ พระเจ้าวิลเลียมทรงเป็นดยุกแห่งนอร์มังดีด้วย ในทางทฤษฎีจึงทรงเป็นขุนนางฝรั่งเศสคนหนึ่ง แต่ก็ทรงเป็นกษัตริย์อังกฤษด้วย ทรงให้มีการสำรวจที่ดินและสำมะโนประชากรไว้ในหนังสือบันทึกทะเบียนราษฎรดูมสเดย์(Domesday Book) ในค.ศ. 1086 เพื่อสะดวกแก่การเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงาน ทรงให้มีการสร้างปราสาทต่างๆ มากมายทั่วอังกฤษ อันเป็นสัญลักษณ์ของระบอบศักดินา แต่ระบอบศักดินาไม่ได้ทำให้อังกฤษแตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยเหมือนฝรั่งเศส เพราะพระเจ้าวิลเลียมทรงมีอำนาจควบคุมขุนนางอังกฤษได้มากกว่าที่กษัตริย์ ฝรั่งเศสควบคุมพระองค์ซึ่งเป็นขุนนางฝรั่งเศส
พระเจ้าเฮนรีที่ 1 ทรงมีทายาทแต่สิ้นพระชนม์ไปเสีย สตีเฟนแห่งบลัวส์ (Stephen of Blois) ลูกชายของเคานท์แห่งบลัวส์ ซึ่งแต่งงานกับพระธิดาของพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 จึงขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าสตีเฟน แต่พระนางมาทิลดา (Empress Matilda) พระธิดาของพระเจ้าเฮนรี ซึ่งสามีของพระนางคือเจฟฟรีย์ เคานท์แห่งอังชู (Geoffrey, Count of Anjou) ยกทัพมาทวงสิทธิในบัลลังก์ในค.ศ. 1139 ทำให้อังกฤษตกอยู่ในอนาธิปไตย (Anarchy) จนพระนางมาทิลดาทรงถูกขับออกไปในค.ศ. 1147 แต่พระเจ้าสตีเฟนทรงมีทายาทแต่ก็สิ้นพระชนม์อีก ในค.ศ. 1153 จึงทรงเจรจากับพระนางมาทิลดา ให้พระโอรสของพระนาง ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 2
เนื่องจากพระเจ้าเฮนรีที่ 2 ทรงเป็นเคานท์แห่งอังชูมาก่อน เมื่อทรงครองอังกฤษ จึงเท่ากับผนวกแคว้นอังชูกับอังกฤษ เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พลันตาจาเนต (Plantaganet) หรือ อังชู และเนื่องจากทรงอภิเษกกับเอเลเนอร์แห่งอากีแตน (Eleanor of Aquitaine) ซึ่งครองแคว้นอากีแตน ทำให้แคว้นอากีแตนอันกว้างใหญ่ตกมาเป็นของอังกฤษ เมื่อพระเจ้าเฮนรีทรงขึ้นครองราชย์ ทรงมิได้ปกครองแต่อังกฤษเท่านั้น แต่ดินแดนอันกว้างใหญ่ในฝรั่งเศสอีกด้วย พระเจ้าเฮนรีทรงช่วยเหลือเจ้าชายจากไอร์แลนด์ นำทัพไปทวงบัลลังก์คืน แต่สุดท้ายก็ทรงยึดดินแดนในไอร์แลนด์เป็นของพระองค์เอง ทรงปราบดาภิเษกพระองค์เองเป็น ลอร์ดแห่งไอร์แลนด์ (Lord of Ireland) เป็นครั้งแรกที่อังกฤษได้ดินแดนในไอร์แลนด์
พระเจ้าริชาร์ดที่ 1ทรงให้เวลาในรัชสมัยของพระองค์ส่วนใหญ่หมดไปกับสงครามครูเสดครั้งที่สาม ทรงได้รับฉายาว่าริชาร์ดใจสิงห์ (Richard the Lionheart) เพราะทรงเป็นนักรบที่กล้าหาญและทำสงครามกับซาลาดินเพื่อแย่งชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ พระเจ้าริชาร์ดทรงปราบปรามสังหารพวกยิวในอังกฤษจนเกือบหมด พระอนุชาคือพระเจ้าจอห์น ทรงอภิเษกกับอิซาเบล แห่งอองกูแลม (Isabel of Angoulême) ซึ่งหมั้นหมายกับผู้อื่นก่อนแล้ว ซึ่งการกระทำของพระเจ้าจอห์นผิดหลักคริสต์ศาสนา พระเจ้าฟิลิปจึงเรียกพระเจ้าจอห์นมาเฝ้าให้ยกเลิกการแต่งงานของพระองค์กับ อิซาเบล แต่พระเจ้าจอห์นทรงปฏิเสธ พระเจ้าฟิลิปจึงทรงอ้างว่าพระเจ้าจอห์นมีความผิดในฐานะลูกน้อง (vassal) ที่ไม่ฟังคำสั่งของนาย (lord) ตามหลักศักดินาสวามิภักดิ์ จึงยกทัพยึดนอร์มังดี และอากีแตน ทำให้อังกฤษเสียดินแดนในฝรั่งเศสไปเหลือแต่แคว้นกาสโคนี
พระเจ้าจอห์นทรงพ่ายแพ้พระเจ้าฟิลิปและสูญเสียดินแดนมากมาย ทำให้บรรดาขุนนางเห็นว่าพระองค์ทรงใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ควร จึงร่วมกันบีบบังคับให้พระองค์ทรงพระปรมาภิไธยในมหากฎบัตร (Magna Carta) ในค.ศ. 1215 จำกัดพระราชอำนาจของกษัตริย์อังกฤษว่าจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมายและพวกขุนนางต้องยินยอม ทำให้อังกฤษเป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นประเทศแรกเป็นต้นมา แต่พระเจ้าจอห์นก็มิได้ทรงให้เสรีภาพตามสัญญาเพราะทรงถูกบังคับทำ บรรดาขุนนางจึงก่อกบฏทำสงครามบารอน (Barons’ War) จะยกบัลลังก์ใหองค์ชายหลุยส์แห่งฝรั่งเศส องค์ชายหลุยส์นำทัพบุกอังกฤษแต่ไม่สำเร็จ
พระเจ้าเฮนรีที่สาม ครองราชย์ต่อจากพระบิดาพระเจ้าจอห์น ทรงเคร่งศาสนามาก และโปรดปรานขุนนางต่างชาติ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี ทำให้บรรดาขุนนางอังกฤษตำหนิพระองค์ ซิโมน เดอ มงฟอร์ต (Simon de Montfort) ขุนนางฝรั่งเศสในอังกฤษ ใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินพระเจ้าเฮนรีในการปกครองแคว้นกาสโคนี ทำให้พระเจ้าเฮนรีไม่ทรงพอพระทัย ฝ่ายมงฟอร์ตก็รวบรวมขุนนางก่อกบฏต่อพระเจ้าเฮนรี เกิดสงครามบารอนอีกครั้ง จนต้องทรงถูกบังคับให้ย้ำมหากฎบัตร พระราชอำนาจก็ถูกลดลงไปอีก รัฐสภาอังกฤษ (Parliament) ยังประชุมกันครั้งแรกในค.ศ. 1236 ในสมัยพระเจ้าเฮนรี
พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 1 พระโอรสพระเจ้าเฮนรี ทรงยึดแคว้นเวลส์ในค.ศ. 1277 เหลือดินแดนเล็กน้อยให้กษัตริย์เวลส์ปกครอง และถูกลดขั้นเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince of Wales) แต่ก็ยึดตำแหน่งมาให้พระโอรสในที่สุด กลายเป็นตำแหน่งรัชทายาทอังกฤษในปัจจุบัน และยังทรงยึดสกอตแลนด์เป็นเมืองขึ้นในค.ศ. 1293 แต่ชาวสกอตไม่ยอม สองอาณาจักรจึงขับเขี่ยวกันในสงครามประกาศอิสรภาพสกอตแลนด์ (War of Scottish Independence) แต่ทรงพ่ายแพ้วิลเลียม วาเลซ (William Wallace) วีรบุรุษสกอต ทำให้สกอตแลนด์แยกตัวออกไป พระโอรสคือพระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 2 ทรงพ่ายแพ้พระเจ้าโรเบิร์ตแห่งสกอตแลนด์ที่บันนอคเบิร์น (Bannockburn) ในค.ศ. 1314 ทำให้สกอตแลนด์เป็นเอกราชอย่างสมบูรณ์
พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 3 ทรงเริ่มสงครามครั้งใหม่กับสกอตแลนด์ในค.ศ. 1333 แต่ไม่ประสบผลเท่าที่ควร ทรงเล็งเห็นว่าเป็นเพราะฝรั่งเศสให้การสนับสนุนสกอตแลนด์ตามสัญญาพันธมิตร เก่า (Auld Alliance) ระหว่างสกอตแลนด์กับฝรั่งเศส ในฝรั่งเศสราชวงศ์กาเปเชียงสิ้นสุด พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงมีสิทธิในบัลลังก์ฝรั่งเศสผ่านทางพระมารดา แต่ขุนนางฝรั่งเศสอ้างกฎบัตรซาลลิคกันพระเจ้าเอ็ดวาร์ดมิให้ครองฝรั่งเศส สงครามร้อยปี (Hundred Years’ War) จึงเริ่มขึ้น ในค.ศ. 1337 พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงนำทัพบุกขึ้นบกฝรั่งเศส ถูกพระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศสโจมตีแต่ไม่สามารถต้านได้ ทำให้พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงตั้งมั่นบนฝรั่งเศสได้ แต่สงครามก็หยุดชั่วคราว เมื่อกาฬโรคระบาดมาถึงอังกฤษในค.ศ. 1349 ทำให้ประชากรลดลงมาก จนในค.ศ. 1358 องค์ชายเอ็ดวาร์ด (Edward, the Black Prince) พระโอรสพระเจ้าเอ็ดวาร์ด นำทัพบุกยึดฝรั่งเศสได้เกือบทั้งประเทศ ในค.ศ. 1360 สนธิสัญญาบริติญญี (Bretigny) ยกฝรั่งเศสครึ่งประเทศให้อังกฤษ
แต่ในพ.ศ. 1912 (ค.ศ. 1369) พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 แห่งฝรั่งเศสทรงสามารถยึดดินแดนคืนแก่ฝรั่งเศสได้จนเกือบหมด จนทำสัญญาอีกครั้งในค.ศ. 1375 อังกฤษเหลือแต่ดินแดนตามชายฝั่ง สงครามที่หนักหน่วงทำให้รัฐสภาขึ้นภาษีอย่างมาก ชาวบ้านและทาสก่อจลาจลในพ.ศ. 1924 (ค.ศ. 1381) เรียกว่ากบฏชาวนา (Peasant’s revolt) นำโดยวัต ไทเลอร์ (Wat Tyler) โจมตีกรุงลอนดอน พระเจ้าริชาร์ดที่ 2ทรงปกครองอังกฤษอย่างอ่อนแอ ทำให้ทรงถูกยึดอำนาจในพ.ศ. 1942 โดยดยุกแห่งแลงคาสเตอร์ (Lancaster) ขึ้นเป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 4 แต่รัชสมัยของพระองค์เต็มไปด้วยการกบฏ โดยเฉพาะกบฏเวลส์ นำโดยโอเวน กลินดอร์ (Owain Glyndwr) ในพ.ศ. 1943 และยังทรงถูกพระโอรสคือพระเจ้าเฮนรีที่ 5 ยึดอำนาจไปจากพระองค์ในพ.ศ. 1953
ในฝรั่งเศส ตระกูลเบอร์กันดีและตระกูลอาร์มัญญัคขัดแย้งกันแย่งอำนาจ ตระกูลเบอร์กันดีขอให้พระเจ้าเฮนรีที่ 5 ทรงช่วยเหลือ พระเจ้าเฮนรีที่ 5 ทรงนำทัพบุกฝรั่งเศสอีกครั้งในค.ศ. 1415 จนยึดฝรั่งเศสทางเหนือไว้ได้หมดในค.ศ. 1419 และบังคับพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศสที่ทรงพระสติไม่สมประกอบ ให้ยกบัลลังก์ให้พระโอรส พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ทรงขึ้นครองราชย์แต่พระเยาว์ ทางฝรั่งเศสก็พลิกขึ้นมาชนะในค.ศ. 1429 และยึดดินแดนคืน พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ทรงพระสติไม่สมประกอบอีกเช่นกัน ทำให้ดยุกแห่งยอร์ค (Duke of York) เป็นผู้สำเร็จราชการแทน ในค.ศ. 1453
ในค.ศ. 1453 ฝรั่งเศสพ่ายแพ้อังกฤษในการรบที่คาสติลโลญ สิ้นสุดสงครามร้อยปี ในค.ศ. 1455 พระเจ้าเฮนรีตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระราชินีมาร์กาเรตแห่งอังชู (Margaret of Anjou) ทำให้ฝ่ายพระ
เจ้าเฮนรี หรือฝ่ายลางคัสเตอร์ นำโดยพระนางมาร์กาเรต และฝ่ายยอร์ค นำโดยดยุกแห่งยอร์ค ทำสงครามดอกกุหลาบ (War of the Roses) พวกยอร์คชนะพวกลังคาสเตอร์ที่นอร์แธมตันในค.ศ. 1460 ดยุกแห่งยอร์คปราบดาภิเษกตนเองเป็นกษัตริย์ในค.ศ. 1460 แต่สิ้นชีวิตในการรบในค.ศ. 1461 ยังไม่ทันจะขึ้นครองราชย์ ลูกชายคือเอ็ดวาร์ด ขึ้นครองราชย์แทนเป็นพระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 4 และชนะพวกลางคัสเตอร์ที่ทาวตัน (Towton) ทำให้พระนางมาร์กาเรตและพระเจ้าเฮนรีทรงหลบหนีไปสกอตแลนด์และฝรั่งเศส แต่เอิร์ลแห่งวาร์วิค (Earl of Warwick) พระอาจารย์ของพระเจ้าเอ็ดวาร์ดเองก่อกบฏ แต่ไม่สำเร็จ หนีไปฝรั่งเศส
เอิร์ลแห่งวาร์ลิคนำทัพมาบุกอังกฤษในค.ศ. 1470 ทำให้พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงหลบหนีไปแคว้นเบอร์กันดี พระเจ้าเฮนรีกลับมาครองบัลลังก์ แต่ไม่นานพระเจ้าเอ็ดวาร์ดก็กลับมายึดบัลลังก์อีกในค.ศ. 1471 พระโอรส พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 5ขึ้นครองราชย์ ในค.ศ. 1483 แต่พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 5 ทรงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตระกูลวูดวิลล์ (Woodwille) ทำให้บรรดาขุนนางอื่นๆไม่พอใจ พระอนุชาคือ เอิร์ลแห่งกลอสเตอร์ (Earl of Gloucester) จับพระเจ้าเอ็ดวาร์ดมาขังที่หอคอยลอนดอน ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ฝ่ายลางคัสเตอร์ที่เงียบไปนาน ก็โผล่ขึ้นมาอีกภายใต้การนำของเฮนรี ทิวดอร์ (Henry Tudor) กลับมาอังกฤษสังหารพระเจ้าริชาร์ดที่ทุ่งบอสวอร์ธ (Bosworth Field) ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 7 เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ทิวดอร์
ราชวงศ์ทิวดอร์ (ค.ศ. 1485 ถึง ค.ศ. 1603)
พระเจ้าเฮนรีที่ 7 เป็นพระโอรสของเอิร์ลแห่งริชมอนด์ (Earl of Richmond) ซึ่งเป็นพระโอรสของโอเวน ทิวดอร์ (Owen Tudor) ขุนนางชาวเวลส์ กับพระนางคัทเทอรีนแห่งวาลัวส์ (Catherine of Valois) ราชินีของพระเจ้าเฮนรีที่ 5 จึงมักจะกล่าวกันว่าราชวงศ์ทิวดอร์มาจากเวลส์ พระเจ้าเฮนรีที่ 7 ทรงอภิเษกกับอลิซาเบธแห่งยอร์ค (Elizabeth of York) พระธิดาของพระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 4 เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลลางคัสเตอร์และยอร์ก เพื่อยุติสงครามดอกกุหลาบ แต่ตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงต้องปราบกบฏของผู้ที่อ้างว่าเป็นองค์ชายตระกู ลยอร์คที่ถูกขังอยู่ในหอคอยลอนดอน แต่ก็ทรงสามารถปราบได้ในค.ศ. 1487 (สโต๊ก) และค.ศ. 1499
พระเจ้าเฮนรีที่ 8 (ค.ศ. 1509 ถึง ค.ศ. 1547)
รัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 8การฟื้นฟูศิลปวิทยาการจากอิตาลีมาถึงอังกฤษ ในค.ศ. 1511 ทรงเข้าร่วมสันนิบาตศักดิ์สิทธิเพื่อต้านการรุกรานอิตาลีของฝรั่งเศส ในค.ศ. 1513 พระเจ้าเฮนรียกทัพบุกฝรั่งเศส ชนะฝรั่งเศสที่ Battle of the Spurs ทำให้ฝ่ายสกอตแลนด์ยกทัพมาบุกอังกฤษเพื่อช่วยฝรั่งเศส แต่พ่ายแพ้ที่ทุ่งฟลอดเดน (Flodden Field)
ในค.ศ. 1525 เมื่อพระนางคัทเธอรีนแห่งอรากอน (Catherine of Aragon) ไม่สามารถจะให้กำเนิดทายาทเพื่อสืบทอดบัลลังก์ได้ มีแต่พระธิดาคือแมรี พระเจ้าเฮนรีจึงทรงวางแผนจะหย่าจากพระนางคัทเธอรีน และไปอภิเษกใหม่กับนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn) พระเจ้าเฮนรีทรงส่งทูตไปหาองค์พระสันตะปาปาเพื่อขออนุญาตหย่า (จะแต่งงานหรือหย่ากษัตริย์ยุโรปต้องทรงขออนุญาตพระสันตะปาปาก่อน เพราะทรงเป็นเสมือนบาทหลวงผู้ประกอบพิธีแห่งยุโรป) แต่ขณะนั้นกรุงโรมถูกทัพของจักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ยึดไว้อยู่ ซึ่งเป็นพระนัดดาของพระนางคัทเธอรีน จึงกดดันพระสันตะมิให้ยอมให้พระเจ้าเฮนรีทรงหย่าจากพระมาตุจฉา
เมื่อพระสันตะปาปาไม่ทรงยอม พระเจ้าเฮนรีก็ทรงทำเองเสียเลย ทรงปลดพระนางคัทเธอรีนในค.ศ. 1531 และอภิเษกกับนางแอนน์ โบลีนในค.ศ. 1533 ขณะทรงพระครรภ์ ให้กำเนิดองค์หญิงอลิซาเบธ พระเจ้าเฮนรีทรงเลิกเชื่อฟังพระสันตะปาปาที่กรุงโรม และทรงห้ามมิให้ขุนนางคนใดติดต่อกับโรม เรียกว่า การหย่าขาดจากโรม (Divorce from Rome) ในค.ศ. 1534 ทรงออกพระราชบัญญัติประมุขสูงสุด(Act of Supremacy) มอบอำนาจให้พระองค์ทรงเป็นประมุขสูงสุดของนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์
พระเจ้าเฮนรีทรงทำลายอิทธิพลขององค์การศาสนาในอังกฤษ โดยประหารชีวิตที่ปรึกษาที่เป็นบาทหลวง เผาทำลายโบสถ์วิหารตามพระราชกฤษฎีกายุบอาราม (Dissolution of Monasteries) ยึดทรัพย์สินของศาสนาเข้าพระคลัง ทำให้ประชาชนไม่พอใจก่อจลาจล พระเจ้าเฮนรีทรงเข้าปราบปราม ในค.ศ. 1536 พระนางคัทเธอรีนสิ้นพระชนม์ พระเจ้าเฮนรีทรงสั่งให้ทั้งประเทศเฉลิมฉลองใหญ่โต เป็นวันเดียวกับที่นางแอนน์ โบลีน แท้งพระโอรสที่ใกล้จะคลอด ในค.ศ. 1536 พระนางแอนน์ โบลีน ซึ่งกลัวที่จะแจ้งความจริงให้กับพระเจ้าเฮนรี่ จึงวางแผนร่วมหลับนอนกับพี่ชายของตน (จอร์จ โบลีน) ระหว่างที่ทั้งสองอยู่ร่วมกันในห้อง นางเจน โบลีน ภรรยาของพี่ชายของพระนางแอนน์ โบลีน มาพบเข้าจึงนำความเข้าทูลกับพระเจ้าเฮนรี่ พี่ชายของพระนาง และพระนาง จึงถูกสำเร็จโทษ แต่ในความเป็นจริง ทั้งสองมิได้ร่วมหลับนอนกันจริง เพราะไม่สามารถกระทำได้ ระหว่างรอนิรโทษกรรมพระนางแอนน์ โบลีน นางแมรี่ โบลีน น้องสาวของพระนางแอนน์ โบลีน มาเข้าเฝ้าพระเจ้าเฮนรี่ เพื่อขอชีวิตพี่สาวของตน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ท้ายที่สุดพระนางแอนน์ โบลีนก็ถูกนิรโทษกรรมตามพี่ชายของพระนางไป และพระเจ้าเฮนรีจะได้ทรงอภิเษกใหม่กับนางเจน โบลีน กลายเป็นเจน เซย์มูร์ (Jane Seymour)
ใน ค.ศ. 1535 พระเจ้าเฮนรีทรงผนวกเวลส์กับอังกฤษ และทรงนำทัพเข้าบุกยึดไอร์แลนด์ จนปราบดาภิเษกพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งไอร์แลนด์ ใน ค.ศ. 1542 พระนางเจน ซีย์มอร์ ให้กำเนิดพระโอรสในที่สุดคือเอ็ดวาร์ด แต่นางเจนเสียชีวิตจากการตั้งพระครรภ์ ใน ค.ศ. 1540 ทรงส่งอภิเษกกับแอนน์แห่งคลีฟส์ แต่เพราะพระนางทรงพระโฉมไม่งามจึงทรงอภิเษกใหม่กับนางคัทเธอรีน โฮวาร์ด (Catherine Howard) แต่ทรงจับได้ว่านางมีความสัมพันธ์กับชายอื่นจึงทรงประหารชีวิตเสียและอภิเษกกับนางคัทเธอรีน พาร์ (Catherine Parr) ในค.ศ. 1543 ในค.ศ. 1547 พระเจ้าเฮนรีจึงสิ้นพระชนม์