สรุปเข้มจำนวนจริง ม.4 บทพื้นฐานของคณิต ม.ปลาย
จำนวนจริง(Real Number)
จำนวนจริง (Real Number)
ระบบจำนวนเลขเท่าที่มนุษย์คิดค้นพบในขณะนี้ประกอบด้วยเลขจำนวน 2 ระบบ คือ
1. ระบบจำนวนจริง (Real Number System)
2. ระบบจำนวนเชิงซ้อนประเภทจินตภาพ (Imaginary Number System)
สรุปเป็นแผนภูมิได้ดังนี้
จำนวนตรรกยะ (Rational Number) คือ จำนวนที่สามารถเขียนในรูปเศษส่วน a/b เมื่อ a และ b เป็นจำนวนเต็มโดยที่ b ¹ 0 จำนวนตรรกยะ จำแนกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. จำนวนเต็ม (Integer)
2. เศษส่วน (Fraction) >>> จำนวนที่เขียนในรูปของเศษส่วนได้ เช่น 1/2, 2/3, 1/3, 50/49, 1, -1, 0
3. ทศนิยม (Repeating decimal) >>> เช่น 3.33333… เท่ากับ 10/3 หรือ 0.142857142857142857142857142857… เท่ากับ 1/7
จำนวนอตรรกยะ (irrational Number) คือ จำนวนที่ไม่สามารถเขียนในรูปเศษส่วน a/b เมื่อ a และ b เป็นจำนวนเต็มโดยที่ b ¹ 0 หรือจำนวนอตรรกยะคือ จำนวนที่ไม่ใช่จำนวนตรรกยะนั่นเอง จำนวนอตรรกยะ จำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ใหญ่คือ
1. จำนวนติดกรณ์บางจำนวน เช่น เป็นต้น
2. จำนวนทศนิยมไม่ซ้ำเช่น 5.18118168473465
หมายเหตุ p ซึ่งประมาณได้ด้วย 22/7 แต่จริงๆ แล้ว p เป็นเลขอตรรกยะ
จำนวนเต็ม จากจำนวนที่มนุษย์ค้นพบได้เป็นครั้งแรกก็คือ จำนวนนับ นั่นก็คือ 1 2 3 4 5 ก็ถือได้ว่าเป็นจำนวนนับ (ในที่นี้จะหมายถึงเซตของจำนวนนับ) แทนสัญลักษณ์ไว้ด้วย หากแต่ก็มีชื่อเรียกจำนวนนับดังข้างต้นได้อีกอย่างว่า “เซตของจำนวนเต็มบวก” ซึ่งแทนด้วย นั่นก็คือ จำนวนดังกล่าวก็ถือได้ว่าเป็นจำนวนเต็มด้วยเช่นกัน แทนสัญลักษณ์จำนวนเต็มด้วย ซึ่งจำนวนเต็มนี้ อาจจะเป็นจำนวนเต็มบวก จำนวนเต็มลบ ก็ได้ แล้วแต่ว่าจะกำหนดมาให้
1. จำนวนอตรรกยะ หมายถึง จำนวนที่ไม่สามารถเขียนให้อยู่ในรูปเศษส่วนของจำนวนเต็ม หรือทศนิยมซ้ำได้ ตัวอย่างเช่น √2 , √3, √5, -√2, – √3, -√5 หรือ ¶ ซึ่งมีค่า 3.14159265… | ||
2. จำนวนตรรกยะ หมายถึง จำนวนที่สามารถเขียนให้อยู่ในรูปเศษส่วนของจำนวนเต็มหรือทศนิยมซ้ำได้ ตัวอย่างเช่น | ||
เขียนแทนด้วย 0.5000… | ||
เขียนแทนด้วย 0.2000… | ||
• ระบบจำนวนตรรกยะ | ||
จำนวนตรรกยะยังสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ | ||
1. จำนวนตรรกยะที่ไม่ใช่จำนวนเต็ม หมายถึง จำนวนที่สามารถเขียนให้อยู่ในรูปเศษส่วนหรือทศนิยมซ้ำได้ แต่ไม่เป็นจำนวนเต็ม ตัวอย่างเช่น | ||
2. จำนวนเต็ม หมายถึง จำนวนที่เป็นสมาชิกของเซต I = {…, -4, -3, -2, -1, 0, 1, 2, 3, 4, …} เมื่อกำหนดให้ I เป็นเซตของจำนวนเต็ม | ||
• ระบบจำนวนเต็ม | ||
จำนวนเต็มยังสามารถแบ่งได้อีกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน | ||
1. จำนวนเต็มลบ หมายถึง จำนวนที่เป็นสมาชิกของเซต I – โดยที่ I – = {…, -4, -3, -2, -1} เมื่อ I – เป็นเซตของจำนวนเต็มลบ |
||
2. จำนวนเต็มศูนย์ (0) | ||
3. จำนวนเต็มบวก หมายถึง จำนวนที่เป็นสมาชิกของเซต I+ โดยที่ I+ = {1, 2, 3, 4, …} เมื่อ I+ เป็นเซตของจำนวนเต็มบวก |
||
จำนวนเต็มบวก เรียกได้อีกอย่างว่า “จำนวนนับ” ซึ่งเขียนแทนเซตของจำนวนนับได้ด้วยสัญลักษณ์ N โดยที่ N = I+ = {1, 2, 3, 4, …} |
||
• ระบบจำนวนเชิงซ้อน | ||
นอกจากระบบจำนวนจริงที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีจำนวนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งได้จากการแก้สมการต่อไปนี้ | ||
x2 = -1 | ∴ x = √-1 = i | |
x2 = -2 | ∴ x = √-2 = √2 i | |
x2 = -3 | ∴ x = √-3 = √3 i | |
จะเห็นได้ว่า “ไม่สามารถจะหาจำนวนจริงใดที่ยกกำลังสองแล้วมีค่าเป็นลบ” เราเรียก √-1 หรือจำนวนอื่นๆ ในลักษณะนี้ว่า “จำนวนจินตภาพ”และเรียก i ว่า “หนึ่งหน่วยจินตภาพ” เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ i | ||
ยูเนียนของเซตจำนวนจริงกับเซตจำนวนจินตภาพ คือ ” เซตจำนวนเชิงซ้อน ” (Complex numbers) |
การบวก/ลบพหุนาม
การบวก/ลบพหุนาม ยังใช้กฎเหล็กข้อเดียวกับเอกนาม คือ
พหุนามจะสามารถบวกหรือลบกันได้ เมื่อตัวแปรเหมือนกัน
การบวกลบพหุนามยังช่วยให้สามารถหาพหุนามในรูปผลสำเร็จได้
ตัวอย่าง |
|
4xy+5x2y-2xy |
|
พหุนามในรูปผลสำเร็จ |
ดีกรีของพหุนาม |
= (4-2)xy + 5x2y = 2xy + 5x2y |
2+1 = 3 (เอกนามที่มีผลบวกเลขชี้กำลังสูงสุด คือ 5x2y) |
ตัวอย่าง |
|
xy2+3x2y-5xy2-x2y |
|
พหุนามในรูปผลสำเร็จ |
ดีกรีของพหุนาม |
= (1-5)xy2 + (3-1)x2y = -4xy2 + 2x2y |
2+1 = 3 (เอกนามที่มีผลบวกของเลขชี้กำลังสูงสุด คือ -4xy2 และ 2x2y ซึ่งมีค่าเท่ากัน) |
การคูณพหุนาม
-
การคูณเอกนามด้วยเอกนาม
เป็นพื้นฐานในการคูณต่อ ๆ ไปหลังจากนั้น โดยหลักการคูณ เอกนามด้วยเอกนาม คือ
ตัวแปรคูณตัวแปร ค่าคงตัวคูณค่าคงตัว
กล่าวคือ ถ้าเจอเอกนาม ให้นำตัวแปรคูณกับตัวแปร ค่าคงตัวคูณกับค่าคงตัว หรือพูดสั้น ๆ ว่าประเภทเดียวกันคูณกัน ถ้ายังแยกตัวแปรกับค่าคงตัวไม่ออกสามารถไปทวนได้ที่หัวข้อแรก และ การคูณตัวแปรจำเป็นต้องใช้ความรู้เรื่องเลขยกกำลัง เพราะฉะนั้นสามารถกลับไปทวนเรื่องเลขยกกำลังได้
ตัวอย่าง
(5y2)(4y)
= (5∙4)(y2∙y)
= 20y3
ตัวอย่าง
(3a2b)(-7b3c)
= (3)(-7) (a2∙b∙b3∙c )
= -21a2b4c
-
การคูณเอกนามด้วยพหุนาม
: การคูณแบบนี้ต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับสมบัติการแจงแจก โดยการกระจายเอกนามเข้าไปคูณในแต่ละพจน์ของพหุนาม
ตัวอย่าง
(5y2)(4y-3x)
= (5y2)(4y) + (5y2)(-3x)
=(4∙5)(y2∙y) + (5)∙(-3)(y2∙x)
= 20y3-15xy2
-
การคูณพหุนามด้วยพหุนาม
: การคูณลักษณะนี้ใช้ความรู้เกี่ยวกับสมบัติการแจกแจงเช่นกัน แต่ต่างกัน คือ ต้องให้แต่ละพจน์ของพหุนามคูณกันให้ครบทุกตัว
ตัวอย่าง
(5y2+3)(4y-3x)
= (5y2)(4y) + (5y2)(-3x) + (3)(4y) + (3)(-3x)
=(5∙4)(y2∙y)+ (5)(-3)(y2∙x)+(3∙4)y+(3)(-3)x
= 20y3-15xy2+12y-9x