ความสำคัญของปะการัง
แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่มีคุณค่าและประโยชน์นานัปการ แต่มักถูกมองข้าม และไม่ค่อยจะได้รับความสำคัญ
1. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์นานาชนิด ทั้งนี้เพราะลักษณะที่มีซอกมีโพรงอยู่ทั่วๆ ไปทำให้เหมาะต่อการหลบภัยเป็นที่อยู่และหาอาหารหลายมีค่าทางเศรษฐกิจ สามารถที่จะจับมาใช้อย่างถูกวิธี การ อนุรักษ์ได้ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา หลายชนิดเป็นที่นิยมในการบริโภค ตลอดไปจนถึงการสะสม ทำให้มีแพงและเป็นที่ต้องการของตลาดมาก
3. แนวปะการังเป็นแหล่งท่องเที่ยวใต้ทะเล เนื่องจากความสวยงาม ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต น้ำที่ใสสะอาดและองค์ประกอบอื่นๆ อีกมากมาย
ทำให้บริเวณแนวปะการังกลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและดึงดูด นักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี และขณะนี้จำนวนนักดำน้ำกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศและต่างประเทศกำลังนิยมดำน้ำในประเทศไทยกันมากขึ้น
4. ความสิ่งคัญของปะการังและสิ่งมีชีวิตในทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขกำลังขยายตัวอย่างมาก เพราะสามารถสกัดสารเคมีจากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้
ไปใช้ประโยชน์กันได้นานัปการ เช่น ทำครีมทาป้องกันแสง อัลตราไวโอเลตซึ่งทำลายเซลล์ผิวหนัง การสกัดสารต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในการทดลองเกี่ยวกับการค้นหาสารเพื่อขับไล่ปลาฉลาม เป็นต้น
5. นอกจากคุณค่าดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ปะการังยังมีคุณค่าในการทำให้เกิดทรายกับชายหาด โดยเกิดจากการสึกกร่อนแตกย่อยของโครงสร้างหินปูน โดยการจากสัตว์ทะเลบางชนิด และโดยคลื่น เป็นต้น
การอนุรักษ์และฟื้นฟูแนวปะการัง
การอนุรักษ์และการฟื้นฟูแนวปะการังเป็นมาตรการที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ทรัพยากรแนวปะการังของประเทศสามารถดำรงสภาพความสมบูรณ์อยู่ได้ ทั้งนี้ต้องมีการบริหารจัดการและมาตรการทางด้านกฎหมาย ดังนี้
1.มีการแบ่งเขตการใช้ประโยชน์ในพื้นที่แนวปะการังทั่วประเทศอย่างชัดเจน ประเทศไทยมีแผนแม่บทการจัดการแนวปะการังของประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ซึ่งประกอบด้วยนโยบาย มาตรการ และแนวทางการดำเนินแผนงานและโครงการ ตลอดจนหลักเกณฑ์และการกำหนดพื้นที่ภายใต้เขตการใช้ประโยชน์ในแนวปะการังของประเทศ แต่ยังไม่มีการประกาศใช้เขตการใช้ประโยชน์กันอย่างจริงจัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็ได้เริ่มหันมาปรับปรุงแผนแม่บทดังกล่าวเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยได้แบ่งเขตการใช้ประโยชน์ตามสถานภาพของแนวปะการังและศักยภาพการใช้ประโยชน์ของชุมชมชนหลายฝ่าย เช่น ภาคธุรกิจท่องเที่ยว ชาวประมง พร้อมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมหรือห้ามทำกิจกรรมที่ส่งผลกระทบ ทั้งนี้เพื่อให้แนวปะการังคงอยู่ในสภาพสมดุลและลดความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์จากแนวปะการัง ได้ดำเนินงานและทดลองประกาศใช้ที่เกาะช้าง จังหวัดตราด เป็นพื้นที่นำร่องทางฝั่งอ่าวไทย
2.หน่วยงานภาครัฐต้องเปิดโอกาสและสนับสนุนให้ประชาชนมีบทบาทในการอนุรักษ์ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอย่างจริงจัง แนวทางที่ประชาชนสามารถร่วมมือทำได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ไม่ทิ้งสมอลงในแนวปะการัง ใช้ทุ่นผูกเรือในแนวปะการัง ไม่ทิ้งเศษซากอวนลงในทะเล ไม่เดินเหยียบย่ำบนแนวปะการัง ไม่ปล่อยน้ำเสียลงในแนวปะการัง ทำการประมงอย่างถูกวิธีโดยไม่ส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง ไม่มีการลักลอบเก็บปะการัง ซึ่งพบว่าในอดีตมีการเก็บปะการังขึ้นมาขายเพื่อประดับตู้โชว์หรือตู้ปลา แต่ในปัจจุบันมีทางออกในเรื่องนี้เพราะมีการทำแบบจำลองปะการังด้วยวัสดุเรซินซึ่งใช้ทดแทนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ต้องไม่ลักลอบจับปลาสวยงามในแนวปะการัง โดยเฉพาะในเขตจังหวัดที่มีการประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมสิ่งแวดล้อม ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต และกระบี่ ประชาชนควรร่วมมือแจ้งข่าวให้ข้อมูลเบาะแสในเรื่องการลักลอบการกระทำใดๆที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อแนวปะการัง ฯลฯ ทั้งนี้หน่วยงานภาครัฐ ต้องมีการประชาสัมพันธ์หลายรูปแบบ ให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อให้เกิดความตระหนักในการอนุรักษ์
ในระยะที่ผ่านมา ได้มีการอบรมให้ความรู้อย่างต่อเนื่องในเรื่องการอนุรักษ์ปะการังแก่ข้าราชการครูและนักเรียน มัคคุเทศก์ กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจเรือหางยาวนำเที่ยว กลุ่มชาวบ้าน ชาวประมง ตามหมู่บ้านใน 13 จังหวัดที่อยู่ติดชายฝั่งทะเลที่มีแนวปะการัง ในบางท้องที่ เช่น จังหวัดภูเก็ต มีการจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนรักษ์ปะการัง มีการจัดตั้งชมรมอนุรักษ์ปะการังและทรัพยากรธรรมชาติฝั่งอันดามันและจัดตั้งกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ปะการังขึ้นที่บ้านบางเทา บ้านป่าตอง บ้านกะตะและกะรน โดยมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านที่มีแนวปะการังและชาวบ้านที่ประกอบอาชีพขับเรือหางยาวพานักท่องเที่ยวชมปะการัง ทั้งนี้สมาชิกของชมรมและกลุ่มอาสาสมัครดังกล่าวข้างต้นได้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการแจ้งข่าวสาร สอดส่องดูแลแทนเจ้าหน้าที่ในการเฝ้าระวังรักษาแนวปะการัง และช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการจับกุมและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรแนวปะการัง และได้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆในด้านการอนุรักษ์แนวปะการัง เช่น การติดตั้งทุ่นผูกเรือ
สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล ได้ดำเนินการฝึกอบรมนักดำน้ำอาสาสมัครในการสำรวจสภาพแนวปะการังภายใต้โครงการ “Reef Check Thailand” ในช่วงปี พ.ศ. 2545-2546 ซึ่งโครงการนี้นอกจากจะเป็นการส่งเสริมให้นักดำน้ำมีความตระหนักในเรื่องการอนุรักษ์ปะการังแล้ว ยังเป็นการสร้างเครือข่ายการให้ข่าวสารเป็นวงกว้างเนื่องจากโครงการนี้ดำเนินการภายใต้โครงการใหญ่ที่เรียกว่า “Reef Check” ซึ่งมีเครือข่ายนานาชาติกระจายในหลายประเทศทั่วโลก
ต่อมาสถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล ได้เปลี่ยนโครงสร้างตามระบบราชการใหม่ เรียกว่า สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ดำเนินโครงการ “Green fins” ร่วมกับ United Nations Environmental Programme (UNEP. โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายผู้ประกอบธุรกิจดำน้ำ โดยให้ตระหนักถึงการอนุรักษ์แนวปะการัง ปัจจุบันโครงการ Green Fins ได้ดำเนินงานโดยสมาคมกรีนฟินส์ประเทศไทย (www.greenfins-thailand.org)
3.แนวปะการังในหลายพื้นที่สามารถฟื้นตัวเองได้ตามธรรมชาติ ถ้าหากไม่มีสิ่งรบกวน ปะการังก็สามารถแตกหน่อเจริญเติบโตแพร่ขยายในพื้นที่นั้นได้ หากตั้งเป้าหมายว่า ต้องการให้แนวปะการังแต่ละแห่งทั่วประเทศมีการฟื้นตัวเพิ่มขึ้น โดยมีปริมาณความหนาแน่นของปะการังที่มีชีวิตในพื้นที่แต่ละแห่งเพิ่มขึ้น 5-10% ต่อปี ซึ่งตัวเลขนี้เป็นตัวเลขคร่าวๆของอัตราการเพิ่มต่อปีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหากไม่มีการรบกวน หากสามารถควบคุมให้มีอัตราการฟื้นตัวได้ในระดับนี้และหากไม่มีผลกระทบจากภัยธรรมชาติคาดว่าในระยะ 5 ปีข้างหน้าแนวปะการังที่เสื่อมโทรมจะลดจำนวนลงไปมาก และแนวปะการังที่เสื่อมโทรมหมดไปในอีกระยะ 10 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่บางแห่งการฟื้นตัวของแนวปะการังตามธรรมชาติอาจเกิดขึ้นได้ช้ากว่าอัตราที่กล่าวข้างต้น เนื่องจากมีปัจจัยทางด้านกายภาพและชีวภาพขัดขวาง ดังนั้นในพื้นที่แนวปะการังเสื่อมโทรมบางแห่งจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูโดยมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง เช่น โดยใช้วิธีการย้ายปลูกปะการังหรือเสริมพื้นแข็งสำหรับให้ตัวอ่อนปะการังลงยึดเกาะพื้นได้ มีหน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการทดลองฟื้นฟูโดยการย้ายปลูกปะการัง เช่น สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา และ กองทัพเรือ แต่กระนั้นก็ตาม ผลที่ได้แตกต่างกันไปในแต่ละแห่ง ในบางพื้นที่ปะการังที่ย้ายปลูกมีโอกาสรอดเพียง 40% ในขณะที่บางแห่งอาจรอดเกือบทั้งหมด สาเหตุที่มีอัตราการรอดน้อยในบางพื้นที่นั้น เพราะปะการังที่ย้ายเข้าไปปลูกยังไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมใหม่ ทำให้มีโอกาสรอดไม่เต็มที่
การเสริม”พื้นแข็ง” ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการฟื้นฟูแนวปะการัง กรณีนี้เหมาะสมที่จะทำในพื้นที่ที่ถูกทำลายจนกระทั่งซากปะการังแตกหักป่นจากแรงระเบิด หรือซากปะการังถูกพายุซัดขึ้นไปกองอยู่บนหาด เหลือแต่พื้นทรายไว้ ในกรณีเช่นนี้ ตัวอ่อนปะการังขาดพื้นแข็งสำหรับยึดเกาะเพื่องอกใหม่ ดังนั้นจึงอาจจำเป็นต้องเสริมพื้นแข็งลงไปในแนวปะการังนั้น ที่ได้มีการทดลองกันแล้วนั้น สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเลได้ดำเนินการที่เกาะไม้ท่อน จังหวัดภูเก็ต โดยได้หล่อท่อคอนกรีตจัดเป็นรูปทรงหมอนสามเหลี่ยมวางในแนวปะการัง พบว่าภายในระยะเวลาประมาณ 7 ปี ปะการังสามารถเจริญเติบโตบนพื้นคอนกรีตนั้นได้ดี