อัพ ค่าแรงขั้นต่ำ
การประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี พ.ศ. 2555 จาก 220 บาทถึง 300 บาท/วัน
มีเริ่มมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศในปี 2556–2558
ซึ่งครั้งนั้นถือเป็นการขึ้นค่าแรงสูงสุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา
และหากนโยบายหาเสียงของแต่ละพรรคการเมือง ณ วันนี้สามารถทำได้จริงคือการปรับค่าแรงขั้นต่ำจาก 300 บาท เปลี่ยนมาเป็น 360-425 บาท
สถิติการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่เคยสูงสุดในปี พ.ศ. 2555 จะกลายเป็นอดีตและถูกทำลายในทันทีเพราะถือเป็นครั้งแรกที่มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจากเดิม 100-125 บาท/วัน (นโยบายของพรรคใหญ่)
มองดูผิวเผินข้อดีของการขึ้นค่าแรง ก็คือจะทำให้กลุ่มคนใช้แรงงานซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่มีสัดส่วนใหญ่สุดของประเทศ มีกำลังจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นกว่าในอดีต
แต่ทุกอย่างย่อมมี 2 ด้านเสมอ การขึ้นค่าแรงก็เช่นกัน ถึง “ข้อดี” คือการเพิ่มพลังการจับจ่ายใช้สอยให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ “ข้อเสีย” ก็มีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
แล้ว ข้อเสีย มีอะไรบ้างแล้วรุนแรงมากน้อยแค่ไหน?
อันดับแรกสุดก็คือ “สินค้าในตลาด” ย่อมแพงขึ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสินค้าที่วางขายในท้องตลาด “ค่าแรงงาน” เป็นต้นทุนที่สูงอันดับต้นๆ ในที่นี้เราขอยกตัวอย่างที่เชนธุรกิจร้านอาหาร
โดยเงินเดือนพนักงานส่วนใหญ่ที่ประจำอยู่ตามสาขา ณ เวลานี้รับอยู่ในเรตค่าแรงขั้นต่ำคือวันละ 300 บาท และหากมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 360-425 บาท นั้นย่อมให้ต้นทุนของผู้ประกอบการขยับขึ้น แน่นอนราคาขายเมนูอาหารก็ต้องแพงขึ้นตามไปด้วย
แล้วจะแพงขึ้นเท่าไร?
หากคิดตามพื้นฐานง่ายๆ คือต้นทุนค่าแรงพนักงานที่เพิ่มขึ้น 30-35% ที่ทำงานในสาขา สมมุติเราเคยสั่งเมนูอาหารจานหนึ่งที่เคยซื้ออยู่ 100 บาท เราอาจจะต้องจ่ายแพงขึ้นในราคา 130-135 บาท
และไม่ใช่แค่ธุรกิจร้านอาหาร แต่เกือบทุกธุรกิจที่ใช้แรงงานคนเป็นหลักในการผลิตสินค้าและบริการที่มีแนวโน้มสูงในการขยับราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น
ที่สำคัญการอัพค่าแรงขั้นต่ำ ยังกระทบให้ฐานเงินเดือนพนักงานระดับอื่นจะต้องปรับตัวขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยกตัวอย่าง ร้านอาหาร อีกเหมือนเดิม เพื่อจะได้เห็นภาพต่อเนื่อง สมมุติ ณ วันนี้พนักงานทั่วไปของร้านอาหารมีรายได้ 300 บาท/วัน และหัวหน้าแผนกครัวหรือแผนกบริการลูกค้าได้เงินเดือนเฉลี่ยวันละ 450 บาท
หากมีการปรับให้พนักงานร้านทั่วไปมีรายได้วันละ 360-425 บาท/วัน แน่นอนหัวหน้าแผนกก็ต้องขอขึ้นเงินเดือนเพื่อให้มากกว่าพนักงานทั่วไประดับลูกน้องตัวเอง
และก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ไปยังฐานเงินเดือนระดับสูงเป็นขั้นๆ ต่อไปในทุกธุรกิจ
ข้อต่อมา จะเกิดการจ้างงานที่น้อยลง โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าในครึ่งปีแรก พ.ศ. 2561 ประชากรไทยที่อยู่ในวัยทำงาน 39 ล้านคน มีคนตกงานเพียง 4.28 แสนคนหรือคิดเป็น 1.1% เท่านั้น
หากมีการปรับ ค่าแรงขั้นต่ำ ขึ้นจาก 300 บาทมาเป็น 360-425 บาท แนวโน้มการจ้างงานของแต่ละบริษัทน่าจะน้อยลง
เพราะอย่าลืมว่าที่ผ่านมากลุ่มแรงงานประเทศเพื่อนบ้านเองก็หลั่งไหลเข้ามาทำงานในประเทศไทย และที่สำคัญแรงงานเหล่านี้จำนวนมากยินยอมที่จะได้รับค่าแรงต่ำกว่า 300 บาท
เพราะถึงอย่างไรก็ยังได้ค่าจ้างที่แพงกว่าหากเทียบกับทำงานในประเทศตัวเอง
ที่สำคัญอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติที่คิดจะสร้างโรงงานผลิตในไทย เปลี่ยนใจไป “ปักหมุด” ฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านแทน หรือบางโรงงานที่มีฐานการผลิตในไทยอยู่แล้วก็อาจย้ายฐานการผลิตก็มีความเป็นไปได้
อีกทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำยังเป็นตัวกระตุ้นให้การใช้เครื่องจักรมาทดแทนแรงงานคนมากขึ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ เวลานี้ หลายโรงงานอุตสาหกรรมบ้านเราเริ่มที่จะใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาทดแทนแรงงานคนในบางส่วนของการผลิต
ข้อสุดท้าย คือสวัสดิการของแต่ละบริษัท ที่เคยให้พนักงานตั้งแต่แรงงานขั้นต่ำจนถึงหัวหน้าฝ่ายต่างๆ อาจถูกลดทอนให้น้อยลงจากปัจจุบัน เพื่อประหยัดต้นทุนส่วนนี้ แล้วนำไปทดแทนค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น
และหากการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเกิดขึ้นจริง จนเกิดผลกระทบให้บริษัทต่างๆ เหล่านี้ในประเทศไทยสร้างปรากฏการณ์ที่เราคาดการณ์ขึ้นมาจริงๆ ถือเป็นเรื่องของ “การปรับตัว” เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดและมีกำไร
เพราะการอัพค่าแรงขั้นต่ำ พรรคการเมือง ไม่ใช่ผู้ที่จ่ายค่าแรงส่วนต่างที่เพิ่มขึ้น
แต่คือผู้ประกอบการและบริษัททั่วประเทศที่ต้อง “แบกรับต้นทุนธุรกิจที่เพิ่มขึ้น”
แถมเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นพรวดทีเดียว 30-35%
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /