แบตเตอรี่รถยนต์ถือว่าเป็นหัวใจหลักสำคัญของรถยนต์เลยก็ว่าได้ เนื่องจากแบตเตอรี่รถยนต์เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานที่ส่งจ่ายไปตามเครื่องยนต์ และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆภายในรถที่ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท
นิยามและประวัติของการค้นพบและการพัฒนาแบตเตอรี่แล้วในตอนที่ 2 นี้จะกล่าวถึงชนิดของแบตเตอรี่ และ ปฏิกิริยาเคมีในแบตเตอรี่ขนิดต่าง ๆ ที่ทุกคนคุ้นเคย
ชนิดของแบตเตอรี่
เมื่อพิจารณาตามลักษณะของอิเล็กโทรไลต์สามารถแบ่งแบตเตอรี่ใด้ 2 ซนิด ได้แก่
- แบตเตอรี่แห้ง (dry cell) ใช้อิเล็กโทรไลต์ที่มีลักษณะเป็นแป้งเปียก (paste) ซึ่งมีความชื้นพอดีสำหรับให้กระแสไฟฟ้าเคลื่อนที่ผ่านได้แบตเตอรี่แห้งสามารถนำไปใช้งานได้ไม่ว่าจะมีการจัดวางในลักษณะใด เพราะไม่มีสารที่เป็นของเหลวที่จะหกหรือรั่วออกมาข้างนอกแบตเตอรี่
- แบตเตอรี่น้ำ (wet cell หรือ storage battery) ใช้อิเล็กโทรไลต์ที่มีสถานะเป็นของเหลวบางชนิดสามารถอัดประจุ หรือ ซาร์จได้ เช่นแบตเตอรี่ตะกั่วกรตในรถยนต์
นอกจากนี้ ถ้าพิจารณาตามลักษณะการใช้งานของแบตเตอรี่ สามารถแบ่งแบตเตอรี่ใด้ 2 ซนิด คือ
- แบตเตอรี่ปฐมภูมิ (primary battery)เป็นแบตเตอรี่ที่เมื่อผ่านการใช้งานแล้ว จะไม่สามารถนำกลับมาซาร์จเพื่อนำมาใช้อีกครั้งได้เช่น แบตเตอรี่แบบอัลคาไลน์ หรือ แบตเตอรี่แบบลิเทียม หรือ ที่เรียกด้วยคำทั่วไปว่า “ถ่าน”สำหรับใช้ในวิทยุ นาฬิกา หรือ รีโมทโทรทัศน์
- แบตเตอรี่ทุติยภูมิ (secondary battery) เป็นแบตเตอรี่ที่เมื่อผ่านการใช้งานแล้ว สามารถนำมาซาร์จเพื่อนำกลับมาใช้งานได้ใหม่ ตัวอย่างเช่น แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Li-ion) ที่ใช้ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือโนัตบุ๊กคอมพิวเตอร์ หรือแบตเตอรี่รถยนต์
มาดูข้อดีข้อเสียของทั้ง 4 แบบกันก่อน เพื่อไว้ประกอบการพิจารณาในการเลือกซื้อ และเหมาะสมกับการใช้งานของผู้ใช้แบบไหน
-
แบตเตอรี่แบบแห้ง
แบตเตอรี่รถยนต์ตัวนี้ มีการพัฒนาเพื่อไม่ต้องเติมน้ำกลั่น จึงเรียกตามลักษณะให้ตรงข้ามกับแบบดั้งเดิม คือ แบตเตอรี่แห้ง ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว แบตเตอรี่ประเภทนี้ ไม่ได้แห้งสนิทเพราะแท้จริงของแบตชนิดนี้ยังคงมีของเหลวอยู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็นแบบตะกั่ว-กรดที่ใช้แคดเมี่ยมและตะกั่วในแผ่นเซลล์หรือพวกที่ใช้สารละลายอัลคาไลน์หรือที่รู้จักกันในชื่อ นิเกิล-แคด เมี่ยมนั่นเอง เมื่อใช้ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น และจะไม่มีฝา เปิด-ปิด บางครั้งจะถูกซีลทับฝาติดกัน แต่สามารถเช็คระดับน้ำกรด และ ระดับไฟ อายุใช้งาน การรับประกันโดยมองผ่านตาแมวสำหรับตรวจเช็ค ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบของบริษัทผู้ผลิตแต่ละยี่ห้อ
ข้อดีของแบตเตอรี่แห้ง
- ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องคอยห่วงกังวลว่าจะลืม
- สามารถดูแลรักษาได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก
- สามารถปล่อยแบตเตอรี่ทิ้งไว้ในสภาพไม่มีไฟประจุได้นานกว่าแบตประเภทเติมน้ำกลั่น
- แบตเตอรี่รถยนต์แห้ง มีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าแบบน้ำ แอมป์สูงกว่า และ ค่า CCA เยอะกว่า
ข้อเสียของแบตเตอรี่แห้ง
- แบตเตอรี่แห้ง มีราคาที่สูงกว่าแบตเตอรี่น้ำ
- มีระบบปิดที่มีรูระบายแบบทางเดียว และมีขนาดเล็ก จึงมีโอกาสอุดตันได้ง่าย ซึ่งถ้าเกิดอุดตันแล้วก็อาจเกิดปัญหาแรงดันภายในหรือความร้อนมาก
- ถ้าหากเป็นแบบที่ปิดผนึกซีลไม่ใช้อีเล็กโตรไลท์ หากซีลของช่องหายใจหลุด อาจจะเกิดความเสียหายขึ้นได้ เนื่องจากมีความชื้นเข้าไปภายใน
-
แบตเตอรี่กึ่งแห้ง
แบตเตอรี่กึ่งแห้ง เป็นแบตเตอรี่คล้าย ๆ แบตเตอรี่แห้งซึ่งจะต่างกันตรงที่แบตเตอรี่แห้งนั้นจะไม่มีรูเติมน้ำกลั่นเลย แต่แบตเตอรี่กึ่งแห้งนั้นยังมีรูเติมอยู่ แบตเตอรี่กึ่งแห้งนั้นยังต้องการการดูแลอยู่แต่จะมีระยะเวลาการดูแลน้อยกว่าแบตเตอรี่น้ำ ซึ่งแบตเตอรี่กึ่งแห้งนั้นจะอยู่ที่ 1-2 ครั้งต่อปีเท่านั้น ซึ่งข้อดีก็คือ ราคาจะถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง และแบตเตอรี่กึ่งแห้งนั้นไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยเท่าแบตเตอรี่น้ำ แต่ก็ยังต้องเติมกลั่นอยู่ดีซึ่งจะต่างกับแบตเตอรี่แห้ง และยังมีความทนทานสูง เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแล ส่วนข้อเสีย แม้จะได้ชื่อว่าเป็นแบตเตอรี่กึ่งแห้งนั้น แต่ก็ยังไม่ใช่แบตเตอรี่แห้ง จึงยังต้องการการดูแลอยู่บ้าง ห้ามละเลยเด็ดขาด
ข้อดีของแบตเตอรี่กึ่งแห้ง
- แบตเตอรี่กึ่งแห้ง มีราคาที่ถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง
- เติมน้ำกลั่น 1-2 ครั้งต่อปีเท่านั้น
- มีความทนทานสูง
ข้อเสียของแบตเตอรี่กึ่งแห้ง
- แบตเตอรี่กึ่งแห้ง มีราคาที่สูงกว่าแบตเตอรี่น้ำ
- ต้องดูแลระดับน้ำกลั่นอยู่บ้าง นานๆ ครั้ง
-
แบตเตอรี่แบบน้ำ
สำหรับแบตรถยนต์แบบน้ำ ถือได้ว่าเป็นแบตรถยนต์แบบดั้งเดิม และมีความแตกต่างไปจากแบตแห้ง อย่างมาก ซึ่งทางร้านที่ขายและทำการจัดจำหน่ายแบต จะทำการเติมน้ำกรดและชาร์จไฟเองเสมอ มาตรฐานในการเติมน้ำกรดและชาร์จไฟ จึงเป็นไปในลักษณะที่ไม่แน่นอนเท่าไหร่ แบตเตอรี่ชนิดน้ำแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่ต้องเติมและดูแลน้ำกลั่นบ่อยๆ อย่างน้อยต้องเดือนละครั้ง และอีกชนิดหนึ่งคือ กึ่งแห้ง ที่ไม่ต้องดูแลบ่อย ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีการสูญเสียน้ำกลั่นน้อยมาก โดยทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีฝาปิด-ปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น เพื่อไม่ให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพเร็วเกินไป ทนความร้อนได้ดี ซึ่งแบตเตอรี่ชนิดน้ำจะเหมาะกับรถที่ต้องวิ่งนานๆ ใช้งานเยอะและเป็นประจำ และมีอายุการใช้งานยาวนานที่สุดประมาณ 1.5 – 2 ปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และการดูแล
ข้อดีของแบตเตอรี่น้ำ
- แบตเตอรี่น้ำ มีราคาที่ถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง
- มีความทนทานต่อการรับโหลดทั้งการประจุและคายประจุ
- อายุการใช้งานของแบตแบบน้ำ จะนานกว่า แบตแบบแห้ง ยิ่งถ้าหากมีการดูแลรักษาอย่างดี อาจจะนานกว่าแบตแห้ง3 – 5 เดือนเลยทีเดียว
ข้อเสียของแบตเตอรี่น้ำ
- ต้องดูแลระดับน้ำ เป็นอย่างดีหากลืมเติมน้ำกลั่นมีโอกาศเสียได้ง่าย
- ต้องคอยเช็คดูแลการประจุและต้องเติมน้ำกลั่นอยู่เสมอ เนื่องจากมีการระเหยหรือโอกาสที่จะรั่วหกได้
- ค่าแอมป์ และ ค่า CCA น้อยกว่าแบตเตอรี่แห้ง
-
แบตเตอรี่ไฮบริด
แบตเตอรี่รถยนต์ แบบไฮบริดนี้ เป็นแบตเตอรี่รถยนต์แบบลูกผสมระหว่าง แบตเตอรี่กึ่งแห้ง และ แบตเตอรี่น้ำ สามารถตรวจเช็คระดับน้ำได้ง่ายเหมือน แบตเตอรี่รถยนต์น้ำ ทั่วไปแต่เหนือกว่าแบตเตอรี่น้ำด้วยค่าการสตาร์ทที่สูงกว่า และไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยเท่ากับแบตเตอรี่น้ำ (ประมาณ 6-9 เดือน ดูระดับน้ำซักครั้งนึง) คาดว่าในอนาคต ข้างหน้าแบตเตอรี่ไฮบริด จะเข้ามาแทนที่แบตเตอรี่น้ำทั้งหมด
ข้อดีของแบตเตอรี่ไฮบริด
- ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดถูกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ ราคาแบตเตอรี่รถยนต์แห้ง
- สำหรับท่านที่ชอบ แบตเตอรี่รถยนต์น้ำ สามารถเลือก แบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดทดแทนกันได้
- ดูแลรักษาง่ายกว่า แบตเตอรี่รถยนต์แบบน้ำ
ข้อเสียของแบตเตอรี่ไฮบริด
- ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริด แพงกว่าแบตเตอรี่รถยนต์น้ำ เล็กน้อย
- ยังต้องมีการเติมน้ำกลั่นแบตเตอรี่อยู่
ขอบคุณข้อมูล https://www.appleluxurycar.com/