สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อสานฝันในอนาคต
-
ค้นหาตัวเองให้เจอ ว่าเราชอบคณะอะไร ชอบทำอาชีพอะไร ซึ่งอาจทำได้โดยดูจากลักษณะนิสัยของตัวเอง ถามรุ่นพี่คณะต่างๆ หรือเข้าร่วมค่ายที่จัดโดยคณะต่างๆเพื่อค้นหาตัวเองให้เจอว่าคณะไหนนั้น “ใช่” สำหรับเรา
-
หาข้อมูลการสอบ มีหลากหลายทางไม่ว่าจะเป็น รับตรงของมหาวิทยาลัยเอง โควต้าชนิดต่าง หรือจะเป็นการรับผ่านระบบของการสอบกลาง
-
ถามรุ่นพี่คณะนั้นให้ชัวร์ การยื่นคะแนน หรืออะไรแนวนั้นนะครับ แต่เป็นการถามถึงรูปแบบการเรียนในมหาวิทยาลัยของคณะนั้นๆ งานที่รองรับเมื่อจบแล้ว
-
เตรียมจัดตารางการอ่านหนังสือ วางแผนให้อ่านจบทั้งหมดก่อนสอบประมาณ 1-2 เดือน ไม่ใช่จบในคืนก่อนสอบ
-
ทำโจทย์นั้นสำคัญ เพื่อที่จะประเมินว่าเรายังบกพร่องตรงจุดไหน การทำข้อสอบก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยอาจทำโจทย์ไปพร้อมกับการอ่าน หรือทำในช่วง 1-2 เดือนที่เหลือจากการอ่านเนื้อหาก็ได้
-
ท้อได้ แต่อย่าถอย อย่าเพิ่งถอยจนเลิกอ่านไปเลย เพราะระหว่างที่เรากำลังเล่น คนอื่นอาจจะกำลังอ่าน และระหว่างที่เรากำลังอ่าน
สิ่งที่ควรจะรู้ก่อนจะเข้า มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยปิด : สถานที่ที่หนึ่ง เข้าก็ยาก ออกก็ยาก เป็นที่โปรดปรานของบิดามารดาเวลาออกมาแล้วได้กระดาษมาคนละแผ่น เรียกว่าใบปริญญา อาจมีความรู้แถมมาด้วยเล็กน้อย
มหาวิทยาลัยเปิด : ตรงกันข้ามกับอันแรก เข้าง่าย แต่ออกยากกว่ามหาวิทยาลัยปิดได้ใบปริญญามาเช่นกัน แต่คุณค่าต่ำกว่าอันแรกโดยใช้ค่านิยมเป็นตัวตัดสิน
ปริญญาบัตร : เอาไว้ยืนยันการเลือกงานตามสาขาและระดับที่ร่ำเรียนมาต่ำกว่านั้นไม่ได้
คณะ : หมวดหมู่ของวิชา เลือกเรียนได้ตามความถนัด สนใจ พอใจ คะแนนเอนท์ฯและความพอใจของท่านบิดามารดา
บิดามารดา : เรียกอีกอย่างว่าผู้ปกครอง มักบอกลูกตัวเองว่าให้เลือกเรียนตามความถนัดจะเอาแพทย์จุฬาฯ เภสัชมหิดล อักษรจุฬาฯ หรือนิติธรรมศาสตร์ก็ได้ เลือกเอานะลูก…
กิจกรรม : เอาไว้ฝึกแบ่งเวลาและฝึกเข้าสังคม ควรเพลาๆ ลงเมื่อได้ F เกินสามตัวต่อปี
รับน้องใหม่ : กิจกรรมหนึ่ง มักมีขึ้นช่วงก่อนมหาวิทยาลัยเปิดภาคเรียนที่หนึ่งเป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีและความสนิทสนมให้แก่รุ่นน้องและรุ่นพี่ถ้ามีหลังเปิดภาคเรียนเรียกว่า ว้าก
ว้าก : กิจกรรมตอนเย็นๆ ที่มีมาแต่โบราณกาล ปัจจุบันก็ยังมีหลงเหลือให้เห็นอยู่แยะมักมีขึ้นช่วงเย็นๆ ถึงดึกๆ เป็นการทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ และเสรีภาพ เสมอภาคและภราดรภาพ โดยใช้คำผรุสวาท และมีกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้มากมาย
ว้ากเกอร์ : บุคคลกลุ่มหนึ่ง เสียงดี ไอเดียเยี่ยม แสดงละครเก่งทำให้รุ่นน้องสามัคคีกันเป็นงานอดิเรก ตอนที่อยู่ในระหว่างเทศกาลว้าก คนกลุ่มนี้จะไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไร้ความร่าเริง ไม่คุยกับเด็กปีหนึ่งทำหน้าตายได้อย่างเดียว
เสรีภาพ : สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงในมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้างทางความคิด คิดได้อย่างเดียว คิดเข้าไป แต่อย่าทำ
เสมอภาค : สิ่งที่ถูกอ้างว่ามีอยู่จริงในมหาวิทยาลัย แต่ถูกจำกัดด้วยคำว่า Seniority และ Instructor
ภราดรภาพ : สิ่งที่อาจมีอยู่จริง แต่ยังไม่มีใครมองเห็นและนำมาใช้
เฟรชชี่ : ผ้าขาว สดใส น่ารัก หน้าตาอ่อนใส ไร้เดียงสา ที่สำคัญต้องใส่รองเท้าสีขาว เป็นคำจำกัดความของเด็กที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ยังไม่แก่โลก และถูกชักจูงง่ายมาก บอกอะไรเชื่อหมด …หลอกง่ายดี…ชอบ
ประชุมเชียร์ : โดยปกติมักจัดเวลากินข้าวเย็นถึงเวลานอน เรียกมาให้พร้อมหน้ากัน แล้วร้องเพลงเชียร์ มักอยู่คู่กับประเพณีว้าก
เพลงเชียร์ : สิ่งปลุกใจเฟรชชี่ให้เกิดความรักพวกพ้อง รักรุ่นพี่ รักคณะตัวเอง คณะอื่นไม่เกี่ยว ไม่ดี ไม่ได้เรื่อง คณะเราดีที่สุด…อย่ามายุ่งนะ
นิสิตนักศึกษา : คนกลุ่มหนึ่ง มีหน้าที่เรียน เรียน และเรียน แต่มีบางส่วนที่ลืมตัว เผลอเอาเวลามาทำกิจกรรมจนไม่มีเวลาไปเรียน
รุ่นพี่ : ปูชนียบุคคล ไหว้ได้ถ้าจำเป็น ต่างกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นิดเดียว คือ เมื่อเวลาเดินผ่านแล้วไม่ทักทายอาจโดนข้อหาหนักได้
ชุดนิสิตนักศึกษา : นิยมแต่งเฉพาะช่วงสอบ
หอพักนักศึกษา : แหล่งซ่องสุมกำลังอย่างดีของนักศึกษา มีครบทุกอย่างที่กฎของหอพักห้าม มักอยู่ไกลจากตึกเรียนไม่ต่ำกว่าหนึ่งกิโลเมตร
อาคารเรียน : สถานที่ควรให้ความเคารพ ห้ามแต่งกายไม่สุภาพ ยกเว้นสายเดี่ยวหรือขาสั้น มักมีศาลอยู่ด้านหน้า ช่วงสอบจะมีพวงมาลัยหลากสีสัน และขนมต้มแดง ขนมต้มขาว
จักรยาน : พาหนะยอดนิยมของนักศึกษา อาจอัพเกรดเป็นจักรยานยนต์ได้ถ้ากระเป๋าหนัก
รถยนต์ : พาหนะของนักศึกษาบางกลุ่มที่บ้านอยู่ไกล แต่ไม่มีสตางค์จะเช่าหอพัก
เวลาเรียน : กำหนดเวลาเข้าห้อง สายได้ไม่เกินที่อาจารย์กำหนดและอาจโดนแบน โดยการล็อคห้องไม่ให้เข้า
ก่อนสอบ : เวลาที่มีเสียงบ่นงึมๆ ระงม บ้างก็ท่องสูตรเคมี บ้างก็บ่นว่าอ่านหนังสือไม่ทันแต่ไม่อยากอ่าน
สอบ : เวลาตายของใครบางคน
หลังสอบ : เวลาที่ควรเปิดหนังสือวิชาที่เพิ่งสอบเสร็จไป มานั่งอ่านอย่างขะมักเขม้น
F : เกรดเกรดหนึ่ง หนึ่งตัวมีค่าเท่ากับเงินค่าหน่วยกิจของวิชาที่ได้เกรดนั้น และเวลาที่เรียนไปทั้งเทอม
A : เกรดที่บางครั้งได้ไม่เท่ากันในแต่ละปี ตามแต่ใจอาจารย์ บางครั้งคะแนนสูงกว่า B+ นิดเดียว
จบ : คำพูดสั้นๆ ของอาจารย์ เมื่อเวลาที่เราเรียนครบตามหน่วยกิตที่กำหนด อาจเกินสี่ปีได้ในบางกรณี
เกียรตินิยม : เหมือนกีฬาโอลิมปิก มีการชิงเหรียญทอง แถมแว่นตา และข้อความในประกาศเพิ่มอีกสองสามประโยค
เทคนิคการสอบสัมภาษณ์ เข้ามหาวิทยาลัย
การเตรียมตัวก่อนสัมภาษณ์มีคำกว่าว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ดังนั้นเอง เราจะต้องเตรียมหาข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย คณะที่เราจะเลือก รวมไปถึงความรู้รอบตัวทั่วไปที่เกี่ยวกับสาขาวิชานั้นๆ
การแต่งกาย
อันนี้เป็นสิ่งที่เรามองข้ามไปไม่ได้เลย เราควรจะต้องแต่งตัวให้ถูกระเบียบทุกประการ เสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องใหม่แต่ต้องสะอาด ไม่ยับยู่ยี่ สำหรับผู้ชายวันนั้นขอแนะนำให้ตัดผมสั้นหน่อยก็ดี ผู้หญิงก็มัดรวบผมให้เรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องวงเเว๊กขัดเงาต่างๆ
ควรเตรียมอะไรไปบ้าง
เราควรจะเตรียมเอกสารทั้งหมดก่อนวันสัมภาษณ์นะครับ ไม่ใช่ไปเตรียมตอนรุ่งเช้าแบบนี้จะยุ่งมากทำให้เราไปสายได้ การเตรียมเอกสารก็ควรหาแฟ้มที่มีหลายช่องเพื่อจะได้แยกเอกสารแต่ละชนิด จะได้หาได้ง่ายเวลานำออกมาใช้ รูปถ่าย GPA หลักฐานต่างๆ รวมทั้ง ปากกาและก็ที่ลบคำผิด จะได้ไม่ต้องยืมคนอื่นเหมือนตอนอยู่โรงเรียน