ความคิดสร้างสรรค์(Creativity) และนวัตกรรม (Innovation)สำคัญอย่างไร
นวัตกรรมเป็นโอกาสและขุมทรัพย์ที่สามารถสร้างความสำเร็จและความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ไร้ข้อจำกัดให้แก่องค์กร นวัตกรรมจะมีได้ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญที่สุด คือความคิดสร้างสรรค์ การทำงานให้สำเร็จยิ่งขึ้นและเจริญก้าวหน้ามากขึ้นต้องอาศัยความคิดใหม่ๆ เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่และบริการใหม่ๆเพื่อตอบสนองแก่ความต้องการของลูกค้าเสมอ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์สูงๆ
ความคิดสร้างสรรค์(Creativity) และนวัตกรรม (Innovation) จึงสำคัญมากต่อความมั่นคงและมั่งคั่งของบริษัท การคิดสร้างสรรค์ได้(Creative Thinking) และคิดนวัตกรรมได้(Innovative Thinking) จึงเป็นคุณสมบัติสำคัญที่องค์กรทั้งหลายต้องการให้ผู้บริหารและบุคลากร มีแต่ในความเป็นจริงบุคลากรก็คิดสร้างสรรค์ได้มากบ้างน้อยบ้าง บริษัทชั้นแนวหน้าทั่วโลกจึงจัดฝึกอบรมกลยุทธ์การคิดสร้างสรรค์ให้บุคลากรโดยตรง เพื่อให้มั่นใจว่าเขาสามารถใช้การคิดสร้างสรรค์ในการทำงานได้แน่นอนทันที
ก่อนอื่น เรามาเข้าใจคำสำคัญของการคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative Skill)
“การคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative Thinking)” มีคำที่สำคัญคือ “การคิด หรือทักษะการคิด” กับ “นวัตกรรม” ดังนั้นเรามาดูความหมายของแต่ละคำกันก่อน
“ทักษะการคิด (Thinking skill)” คือความสามารถในการคิด จากกระบวนการทำงานของสมอง ต่อการตอบสนองในเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่ง อาจจะมีการบ่มเพาะจากการเลี้ยงดู ประสบการณ์ การศึกษา เป็นต้น
“นวัตกรรม (Innovation)” คือ การใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาหรือประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ เช่น บริการ ผลิตภัณฑ์ หรือกระบวนการใหม่ๆ (Service, Product, Process) เป็นต้น ที่มีคุณค่า(Value Creation) และมีประโยชน์ต่อผู้อื่น เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเมื่อมีคุณค่าและมีประโยชน์แล้วจะสามารถขยายผลต่อได้เชิงพาณิชย์ หรือขายได้นั่นเอง
Innovation = Creative + New + Value Creation (ความคิดสร้างสรรค์ + สิ่งใหม่ + มีคุณค่า)
ดังนั้น “การคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative Thinking)” คือการคิดสิ่งใหม่ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหา หรือพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ตอบสนองผู้คนหรือลูกค้า ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือบริการใหม่ๆ หรือกระบวนการใหม่ ที่มีคุณค่า และสามารถสร้างคุณค่าและประโยชน์ได้
ถ้าเราจะเริ่มการพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative Skill) เพื่อพัฒนานวัตกรรมในองค์กร เพื่อให้เป็นองค์กรนวัตกรรม จะเริ่มอย่างไรบ้าง
1. การพัฒนาบุคคลากรนวัตกรรมเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน (People & Process Innovation)
การพัฒนาบุคคลากรนวัตกรรมเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเริ่มจากการพัฒนาพนักงานให้มีทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม เพื่อให้สามารถพัฒนาตัวเอง แล้วนำความสามารถไปพัฒนากระบวนการหรือวิธีการทำงานให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มผลผลิต หรือลดต้นทุนได้มากขึ้น
ซึ่งสามารถทำได้โดยการพัฒนาทักษะความคิดที่สำคัญ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์และความคิดวิเคราะห์และคิดเชิงระบบ เป็นต้น ให้กับคนทำงาน ในด้านความคิดสร้างสรรค์ สามารถคิดสิ่งใหม่ๆได้ สามารถคิดวิธีการแก้ปัญหาและป้องกันใหม่ๆได้ ด้วยตัวเองไม่ต้องรอแต่หัวหน้า หรือผู้นำเท่านั้น จากนั้น จึงพัฒนาความคิดวิเคราะห์และคิดเชิงระบบ เพื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆที่ระดมสมอง หรือคิดกันมา ให้สามารถเลือกวิธีที่ดีที่สุด ที่มาแก้ไขปัญหาได้ โดยมีเหตุผล รองรับ ซึ่งมีเครื่องมือ วิธีการ และเทคนิคต่างๆมากมาย ในการระดมความคิด การแลกเปลี่ยนและการทำงานเป็นทีม เพื่อให้เห็นแง่มุมต่างๆครบหมดก่อนนำมาพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานหรือกระบวนการต่างๆ
ในขั้นตอนนี้ หากให้เกิดผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องนั้น ที่สำคัญมากคือ ผู้นำองค์กร ต้องมีวิสัยทัศน์ (Vision) และเป้าหมายด้านการพัฒนานวัตกรรมในองค์กรอย่างชัดเจนและสม่ำเสมอ เปิดใจ (Open Mind) รับฟังความคิดเห็นอย่างจริงใจ (listen with heart) ท้าทายความคิด (Challenge) และเปิดโอกาสให้มีการนำความคิดเหล่านั้นมาลงมือทำ เป็นการ Learning by doing นอกจากนั้นการเสริมแรงด้วยการให้รางวัลสำหรับความคิดที่สร้างคุณค่าให้กับบริษัทก็เป็นสิ่งจำเป็น เช่น การชื่นชม การให้เงินพิเศษ การให้วันหยุด เป็นต้น
นวัตกรรมที่ เริ่มจากการพัฒนาคนให้เป็นบุคคลากรนวัตกรรม และสร้างนวัตกรรมองค์กร แล้วค่อยๆเริ่มจากการพัฒนาสิ่งเล็กๆ กระบวนการเล็กๆ แล้วค่อยๆขยายขึ้น จะสามารถทำให้องค์กรเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
2. การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า (Product/Service Innovation)
เมื่อบริษัทมีบุคคลากรที่มีความคิดสร้างสรรค์และการคิดเชิงนวัตกรรม รวมทั้งมีการทำงานเป็นทีมแล้ว การที่จะสามารถคิดค้น หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการใหม่ๆเพื่อตอบสนองลูกค้าได้นั้น ย่อมทำได้เพราะนวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 สร้างคุณค่ากับผู้ใช้งานหรือกลุ่มเป้าหมาย (User Desirability)
การพัฒนานวัตกรรมขึ้นมานั้น จะต้องคำนึงถึงคุณค่าที่จะเกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน หรือกลุ่มเป้าหมายของเรา ซึ่งการที่จะได้มาซึ่งกระบวนการพัฒนานี้ต้องเริ่มจากการสังเกต การฟัง หรือการไปสวมบทบาทนั้นของผู้ใช้ว่า เขาต้องการอะไร เขามีปัญหาอะไร หรือ Pain point อะไร ซึ่งเมื่อสามารถพบแล้ว และสามารถพัฒนาสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมได้ และช่วยแก้ปัญหาให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ ย่อมได้รับการยอมรับ และแน่นอนว่า จะขายได้ในอนาคตแน่นอน ซึ่งในส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับ ฝ่ายวิจัยพัฒนา ฝ่ายออกแบบ หรือฝ่ายการตลาด ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ เป็นต้น
ส่วนที่ 2 สามารถขยายผลหรือสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้ (Business Viability)
การพัฒนานวัตกรรมสามารถสร้างมูลค่า หรือผลตอบแทนมาสู่ตัวเรา หรือองค์กรได้หรือไม่ สิ่งที่จะพัฒนาตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายหรือไม่ อย่างไร ซึ่งในส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หรือติดต่อกับลูกค้าบ่อย เช่น ฝ่ายการตลาด การขาย ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ เป็นต้น
ส่วนที่ 3 สามารถเป็นไปได้ทางเทคนิค (Technical Feasibility)
นวัตกรรมบางอย่างเรียกว่า มีเวลาชีวิตของเขา เทคโนโลยีบางอย่าง หากไม่คำนวณเวลาดีๆ พอพัฒนาออกมาเสร็จก็อาจจะเป็นของที่ล้าสมัยไปแล้วก็ได้ เช่น ระบบโทรศัพท์บ้านที่ทันสมัยขึ้น แต่คนส่วนใหญ่นิยมใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่า การไปพัฒนาระบบโทรศัพท์บ้านอาจจะไม่ตอบความต้องการของผู้ใช้งาน หรือในปัจจุบันคนมักคุยกันทางอินเตอร์ ผ่าน line call, FB messenger Zoom ระบบต่างๆที่คุยฟรีทางอินเตอร์เนต แถมยังเห็นหน้าเห็นตากันมากกว่า ซึ่งในส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับ ฝ่ายผลิต ฝ่ายวิจัยพัฒนา ฝ่ายวิศวกรรมในองค์กรในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางเทคนิคด้วย
ดังนั้นในขั้นตอน การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า นี้ จะเห็นได้ว่า การพัฒนานวัตกรรมให้มีแนวโน้มประสบความสำเร็จนั้น นอกจากจะต้องคำนึงประเด็นที่สำคัญทั้ง 3 เรื่อง คือ สร้างคุณค่ากับผู้ใช้งานหรือกลุ่มเป้าหมาย (User Desirability) สามารถขยายผลหรือสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้ (Business Viability) สามารถเป็นไปได้ทางเทคนิค (Technical Feasibility) แล้วนั้น ยังต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมใจและการมีส่วนร่วม (Collaboration) ของคนในองค์กรฝ่ายต่างๆ (Cross functional teamwork) มาช่วยกันทำเป็นแผนงาน แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ และดำเนินการไปอย่างเป็นทีม นวัตกรรมในองค์กรจึงจะประสบผลสำเร็จได้
3. การพัฒนานวัตกรรมรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ (Business Model Innovation)
เมื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆมาแล้ว จากนั้นคือการพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ เพื่อขยายช่องทางในการขยายตลาด เพราะผลิตภัณฑ์หรือบริการในปัจจุบันสามารถลอกเลียนแบบกันได้ แม้บางอย่างอาจจะลอกเลียนแบบได้ยากหากใช้เทคโนโลยีสูง แต่การพัฒนานวัตกรรมรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ นั้นจะทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของเราเข้าตลาดได้ก่อน และอยู่ในใจลูกค้า
-ขอบคุณข้อมูล https://www.sasimasuk.com/