สายชาร์จมีกี่แบบต่างๆและแต่ละแบบต่างกันยังไง?
1. สายชาร์จไอโฟน
ขอเริ่มต้นด้วยสายชาร์จยอดนิยมอย่าง สายชาร์จไอโฟน หรือ สายชาร์จ iPhone มาในพอร์ตหัว USB A to Lightning สายแบบเดียวกับที่แถมมากับตัวเครื่อง iPhone/iPad รุ่นก่อนๆ เป็นสายชาร์จที่ได้มาตรฐานที่ใช้ทั้งชาร์จแบตเตอรี และถ่ายโอนข้อมูล ดีไซน์สายนอกจากสวยงาม สีขาวดูพรีเมียมแล้ว วัสดุที่ทางแบรนด์ Apple เลือกเป็นมิตรกับธรรมชาติ ดังนั้นหากว่าเราใช้งานไม่ระมัดระวังก็อาจจะเกิดอาการขาด เกิดการเหลือง หรือเปื่อยขาดได้ง่าย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้สายชาร์จไอโฟนจากแบรนด์ทางเลือกต่าง ๆ หันมาได้รับความสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีสายแบบ USB C to Lightning ที่รองรับการชาร์จเร็วให้กับ iPhone/iPad Pro ที่จะทำให้ช่วยลดระยะเวลาในการชาร์จลงไปได้มากขึ้น ซึ่งจะถูกพัฒนาตั้งแต่รุ่น iPhone 8 ขึ้นไป ทำให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 50% ภายในระยะเวลาเพียง 30 นาที แต่ก็ขึ้นอยู่กับอะแดปเตอร์ที่เราใช้งานอยู่ด้วยว่าสามารถรองรับการจ่ายไฟแบบ PD
2. สายชาร์จ Type C
สายชาร์จ Type C สายแบบ USB A to USB C ที่มาพร้อมความปลอดภัยในการใช้งานมากกว่าสายชาร์จแบบปกติ นอกจากนี้ยังรองรับการจ่ายไฟตั้งแต่ 3 A ถึง 5 A สามารถเสียบปลายสายด้านใดก็ได้ สายชาร์จที่ถูกพัฒนาให้ชาร์จไวขึ้น พร้อมถ่ายโอนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันสาย USB Type-C ถูกพัฒนามาจนถึงเทคโนโลยีเวอร์ชั่น 3.1 สามารถส่งข้อมูลได้ในอัตราความเร็วที่สูงกว่า วิดีโอ 4K และทำให้การถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลได้สูงสุดถึง 10 Gbps มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3.สายชาร์จ Micro USB
ถือได้ว่าเป็นสายชาร์จ Micro USB ที่ออกแบบมาเพื่อ รองรับการใช้สำหรับสามาร์ทโฟนระบบ Android ทั่วไป รวมไปถึงระบบ Window Phoneที่รองรับการชาร์จ ทั้งยังสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้ แต่ในปัจจุบัน Smartphone เหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีคนเลือกใช้งานกันมากเท่าไหร่ เลยส่งผลให้ อุปกรณ์เสริมอย่าง ลำโพงบลูทูธ, หูฟังบลูทูธ รวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่ไม่ต้องการกำลังไฟในการชาร์จมาก ที่ยังเลือกใช้งานสายประเภทนี้อยู่ นอกจากนี้ยังหาซื้อได้ค่อนข้างง่าย ราคาจึงไม่ค่อยสูงมากเมื่อเทียบเท่ากับสายชาร์จไวที่จะมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ
4.สายชาร์จอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมี สายชาร์จอื่นๆ ที่ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์บางอย่างโดยเฉพาะ อย่างเช่น สายชาร์จ Apple Watch สายชาร์จแบบแม่เหล็กสำหรับ Apple Watch ที่จะไม่สามารถใช้งานร่วมกับสายชาร์จประเภทอื่นๆ ได้เลย